Linux หลายคนอาจคุ้นชื่อแต่ไม่รู้จัก คร่าวๆก็คือ มันก็เป็นเหมือนระบบ Windows ที่อยู่บนคอมพิวเตอร์นั่นแหละครับ แต่ Linux เป็น Windows อีกเจ้าหนึ่งที่แจกฟรี และเป็น Open source หมายความว่าใครๆก็สามารถนำมันไปใช้ได้ฟรีๆและปรับปรุงแก้ไขได้อย่างอิสระ และการที่ Linux เป็นระบบเหมือน Unix จึงมีเสถียรภาพสูง แฮ็กยาก และไม่มีไวรัสรบกวน จึงนิยมนำไปใช้กับเครื่อง Server ระดับสูง และนิยมใช้ในหมู่โปรแกรมเมอร์และแฮ็กเกอร์ และด้วยความยืดหยุ่นของมัน จึงสามารถใช้กับคอมฯพิวเตอร์ทั่วไปได้ด้วย โดยใช้เสป็คเครื่องไม่สูงมาก ซึ่ง Linux บางตัวสามารถใช้กับเครื่องเก่า 15 ปีได้อย่างลื่นไหลสบายๆ และมีคุณสมบัติเทียบเท่าปัจจุบันทุกประการ
ปัจจุบันนี้หลายคนก็ใช้ Linux อยู่แต่อาจไม่รู้ เพราะเรารู้จักมันในชื่อว่า Android ซึ่งเป็น Linux ที่พัฒนาให้ใช้เป็นสมาร์ทโฟน และในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความสมาร์ทๆอีกหลายชนิด
คร่าวๆก็ประมาณนี้ครับ
กลับมาที่หนังสือ
หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นไทยแล้ว ชื่อว่า "เอามัน" ของสำนักพิมพ์มติชน ซึ่งเหตุผลในการสร้าง Linux ขึ้นมาของไลนุสก็ตามชื่อหนังสือเลยครับ คือพี่แกทำเอามันเท่านั้นแหละ!
เรื่องมันเกิดขึ้นในปี 1991 ตอนที่พี่แกซื้อโมเด็มใหม่มาแล้วมันไม่มีไดเวอร์สำหรับคอมฯของพี่แก(ไดเวอร์คือโปรแกรมที่ให้ OS ใช้งานอุปกรณ์นั้นๆได้) พี่แกก็พยายามเขียนไดเวอร์ขึ้นมาเอง เขียนอยู่เป็นเดือนก็ยังไม่สำเร็จ เขียนไปเขียนมาพี่แกเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะเยอะขึ้นทุกทีทุกทีแล้วเว้ยเฮ้ย จนในที่สุดพี่แกเห็นว่า "นี่มันจะเป็น OS แล้วนะโว้ย?" ถึงจุดนี้พี่แกก็ "เอาว่ะ ลองเขียน OS ดูเลยล่ะกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว" ในที่สุดเขาก็ได้สร้าง Linux เวอร์ชั่น 0.01 ขึ้นมาสำเร็จ และโพสลงในกลุ่มเว็บบอร์ดของชาวคอมฯบนอินเตอร์เน็ต นี่คือจุดเริ่มต้นในการปฏิวัติของวงการคอมฯไปตลอดกาล
ตอนเป็นเด็ก ไลนุสได้ใช้คอมฯกับคุณปู่คุณตา ซึ่งคอมฯสมัยนั้นถ้าต้องการใช้โปรแกรมอะไร จะต้องเขียนโปรแกรมขึ้นมาเอง โดยอาจจะหาซื้อหนังสือการเขียนโปรแกรมเบื้องต้นมาอ่าน หรือในนิตยสารคอมฯสมัยนั้นก็มีการแจก Source code ของโปรแกรม คือเอามาพิมพ์ตามให้ทุกต้องทุกตัวอักษร ก็จะได้โปรแกรมใช้ในคอมฯของเราแล้ว
ตรงนี้ชวนให้นึกถึงสมัยโนเกีย 3310 ที่ต้องเปิดหนังสือโน้ตเพื่อทำริงโทนเองยังไงอย่างงั้นเลย(ดักแก่แล้ว๑)
ด้วยประสบการณ์นี้ ทำให้ไลนัสถนัดที่จะเขียนโปรแกรมและเกมเล่นเองมาตั้งแต่เด็ก บางเกมก็ไปดูแล้วกลับมาเขียนเองให้เล่นได้อย่างที่ได้ดูมาก็มี แม้ตัวละครในเกมที่เขียนเลียนแบบมาจะดูอมโรคไปสักหน่อยก็ตาม ไลนุสว่าไว้อย่างนั้น และเขายังได้ส่ง Source code เกมที่เขียนเองไปลงนิตรยสารด้วย เขามักจะอุดตุอยู่แต่ในห้องนอนกับคอมฯคู่ใจ และกองหนังสือในห้องมาโดยตลอด กระทั่งเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและได้อ่านหนังสือการออกแบบระบบปฏิบัติการของผู้สร้าง Mimix ซึ่งเป็นระบบแบบ Unix สำหรับนักศึกษา ไลนุสก็สั่งซื้อมาใช้ แต่มันมีข้อบกพร่องเยอะ จนวันนึงเกิดความผิดพลาดบนคอมฯขึ้น ทำให้ Mimix ในคอมฯพัง ซึ่งตอนนั้นพี่แกก็เขียน Linux แล้ว ไลนุสเลยตัดสินใจใช้ Linux เป็นหลักและพัฒนาต่อไปให้ดีกว่าเดิม จนกระทั่งดีกว่า Mimix
เมื่อ Linux บดบังแสง Mimix
Linux เริ่มได้รับความนิยมจากชาวเน็ตในสมัยนั้น(สมัยนั้นคอมฯยังเป็นระบบจอดำๆเขียวๆพิมพ์คำสั่งอยู่เลยครับ คนที่ใช้เน็ตยังมีน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นแฮ็กเกอร์และโปรแกรมเมอร์) จนผู้สร้าง Mimix ออกมาโจมตี Linux ทำให้ไลนุสกับผู้สร้าง Mimix (ซึ่งเป็นไอดอลของไลนุสเลย เพราะไลนุสอ่านหนังสือการสร้างระบบปฏิบัติการที่เขาเขียน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง Linux)ต้องฉะกันทั้งบนเว็บบอร์ดและอีเมล์อยู่ยกใหญ่ แต่ Linux ซึ่งเป็น Opensource ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฟรีและทุกคนเข้าร่วมในการพัฒนาได้ เมื่อถึงปี 1993 ได้มีคนสร้างระบบ GUI (คือระบบคอมฯแบบมีภาพ ใช้เม้าคลิกๆ แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน) ได้สำเร็จ และมีคนนำมาใส่บน Linux จากนั้นก็ทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สตีฟจ๊อบนัดพบไลนุส
ในหนังสือประวัติของสตีฟจ๊อบไม่เคยเห็นจ๊อบพูดถึงการเจอกับไลนุสเลย แต่ในหนังสือเล่มนี้ไลนุสบอกว่า เลขาของจ๊อปโทรนัดให้ไปพบกัน เมื่อเขาได้เจอกับจ๊อบ สิ่งแรกที่จ๊อบพูดกับเขา ซึ่งสมเป็นจ๊อบมากๆคือ "ในตลาดคอมฯน่ะ มีแค่ 2 เจ้า คือ Microsoft กับ Apple เท่านั้น ทางที่ดีที่สุดไลนุสควรมาทำงานให้กับ Apple" แต่ไลนุสไม่ได้ตอบรับ ไลนุสเล่าว่า จ๊อบเป็นเหมือนที่ทุกคนรับรู้จากสื่อนั่นแหละ แบบนั้นเลย ไลนุสพูดถึง Macintosh ไว้ว่า เป็นระบบที่มีข้อบกพร่องเยอะแยะ ซึ่ง Macintosh เองก็พัฒนามาจาก Mach ซึ่งเป็นระบบแบบ Unix และ Opensorce เหมือนกัน ซึ่งสร้างมาโดยใช้เทคนิค Micro Kernel คือเป็นการแยกย่อยหน่วยต่างๆจากกัน ซึ่งไลนุสไม่สนับสนุน พี่แกชอบสร้างเป็นก้อนๆเดียวแบบดั้งเดิมมากกว่า(นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไลนุสทะเลาะกับผู้สร้าง Mimix)
บางทีการปฏิวัตก็หยุดไม่ได้
เรื่องราวของ Linux ยังคงดำเนินต่อไป มีอะไรมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ไลนุสเห็นว่าการที่เขามีมุมมองต่อ Linux แบบนี้ คือให้มันเป็น Opensorce และปล่อยฟรีให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้เต็มที่ แม้ในวัยเด็กของไลนุสจะยากจนสักหน่อย คอมฯที่ใช้พัฒนา Linux (ในขณะนั้น)ก็ยังต้องผ่อนจ่าย อาจเป็นเพราะสภาพสังคมของฟินแลนด์ที่เป็นประเทศสวัสดิการ เรียนฟรีได้ทุกระดับ จะเรียนถึงปริญญาเอกก็ได้(ปู่และตาของไลนุสเป็นศาสตร์จารย์ทั้งคู่เลย) มีสวัสดิการทุกคน ทุกคนเสมอภาคเท่ากัน อาจเพราะอย่างนี้ก็ได้ Linux จึงปล่อยฟรีโดยไม่คิดเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่ทุกอย่างก็มาจากทำ"เอามัน"ของไลนุสทั้งสิ้น พี่แกชอบความท้าทาย เขาอยากได้รับคำติชมเยอะๆ เพื่อที่ว่าจะลองท้าทายตัวเองว่าจะแก้ปัญหาได้มั้ย โดยพี่แกเชื่อว่า ถ้าทุกคนได้ทำอาชีพที่ตัวเองรัก ด้วยการทำเอามันแบบนี้แหละ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ทุกอย่างจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเหมือน Opensorce อย่างแน่นอน
การทำด้วยใจรัก เมื่อพบปัญหา ย่อมไม่ถอดใจง่ายๆหรอก
คุณคิดว่าไงครับ?
ตรงนี้ชวนให้นึกถึงสมัยโนเกีย 3310 ที่ต้องเปิดหนังสือโน้ตเพื่อทำริงโทนเองยังไงอย่างงั้นเลย(ดักแก่แล้ว๑)
ด้วยประสบการณ์นี้ ทำให้ไลนัสถนัดที่จะเขียนโปรแกรมและเกมเล่นเองมาตั้งแต่เด็ก บางเกมก็ไปดูแล้วกลับมาเขียนเองให้เล่นได้อย่างที่ได้ดูมาก็มี แม้ตัวละครในเกมที่เขียนเลียนแบบมาจะดูอมโรคไปสักหน่อยก็ตาม ไลนุสว่าไว้อย่างนั้น และเขายังได้ส่ง Source code เกมที่เขียนเองไปลงนิตรยสารด้วย เขามักจะอุดตุอยู่แต่ในห้องนอนกับคอมฯคู่ใจ และกองหนังสือในห้องมาโดยตลอด กระทั่งเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและได้อ่านหนังสือการออกแบบระบบปฏิบัติการของผู้สร้าง Mimix ซึ่งเป็นระบบแบบ Unix สำหรับนักศึกษา ไลนุสก็สั่งซื้อมาใช้ แต่มันมีข้อบกพร่องเยอะ จนวันนึงเกิดความผิดพลาดบนคอมฯขึ้น ทำให้ Mimix ในคอมฯพัง ซึ่งตอนนั้นพี่แกก็เขียน Linux แล้ว ไลนุสเลยตัดสินใจใช้ Linux เป็นหลักและพัฒนาต่อไปให้ดีกว่าเดิม จนกระทั่งดีกว่า Mimix
เมื่อ Linux บดบังแสง Mimix
Linux เริ่มได้รับความนิยมจากชาวเน็ตในสมัยนั้น(สมัยนั้นคอมฯยังเป็นระบบจอดำๆเขียวๆพิมพ์คำสั่งอยู่เลยครับ คนที่ใช้เน็ตยังมีน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นแฮ็กเกอร์และโปรแกรมเมอร์) จนผู้สร้าง Mimix ออกมาโจมตี Linux ทำให้ไลนุสกับผู้สร้าง Mimix (ซึ่งเป็นไอดอลของไลนุสเลย เพราะไลนุสอ่านหนังสือการสร้างระบบปฏิบัติการที่เขาเขียน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง Linux)ต้องฉะกันทั้งบนเว็บบอร์ดและอีเมล์อยู่ยกใหญ่ แต่ Linux ซึ่งเป็น Opensource ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฟรีและทุกคนเข้าร่วมในการพัฒนาได้ เมื่อถึงปี 1993 ได้มีคนสร้างระบบ GUI (คือระบบคอมฯแบบมีภาพ ใช้เม้าคลิกๆ แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน) ได้สำเร็จ และมีคนนำมาใส่บน Linux จากนั้นก็ทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สตีฟจ๊อบนัดพบไลนุส
ในหนังสือประวัติของสตีฟจ๊อบไม่เคยเห็นจ๊อบพูดถึงการเจอกับไลนุสเลย แต่ในหนังสือเล่มนี้ไลนุสบอกว่า เลขาของจ๊อปโทรนัดให้ไปพบกัน เมื่อเขาได้เจอกับจ๊อบ สิ่งแรกที่จ๊อบพูดกับเขา ซึ่งสมเป็นจ๊อบมากๆคือ "ในตลาดคอมฯน่ะ มีแค่ 2 เจ้า คือ Microsoft กับ Apple เท่านั้น ทางที่ดีที่สุดไลนุสควรมาทำงานให้กับ Apple" แต่ไลนุสไม่ได้ตอบรับ ไลนุสเล่าว่า จ๊อบเป็นเหมือนที่ทุกคนรับรู้จากสื่อนั่นแหละ แบบนั้นเลย ไลนุสพูดถึง Macintosh ไว้ว่า เป็นระบบที่มีข้อบกพร่องเยอะแยะ ซึ่ง Macintosh เองก็พัฒนามาจาก Mach ซึ่งเป็นระบบแบบ Unix และ Opensorce เหมือนกัน ซึ่งสร้างมาโดยใช้เทคนิค Micro Kernel คือเป็นการแยกย่อยหน่วยต่างๆจากกัน ซึ่งไลนุสไม่สนับสนุน พี่แกชอบสร้างเป็นก้อนๆเดียวแบบดั้งเดิมมากกว่า(นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไลนุสทะเลาะกับผู้สร้าง Mimix)
บางทีการปฏิวัตก็หยุดไม่ได้
เรื่องราวของ Linux ยังคงดำเนินต่อไป มีอะไรมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ไลนุสเห็นว่าการที่เขามีมุมมองต่อ Linux แบบนี้ คือให้มันเป็น Opensorce และปล่อยฟรีให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้เต็มที่ แม้ในวัยเด็กของไลนุสจะยากจนสักหน่อย คอมฯที่ใช้พัฒนา Linux (ในขณะนั้น)ก็ยังต้องผ่อนจ่าย อาจเป็นเพราะสภาพสังคมของฟินแลนด์ที่เป็นประเทศสวัสดิการ เรียนฟรีได้ทุกระดับ จะเรียนถึงปริญญาเอกก็ได้(ปู่และตาของไลนุสเป็นศาสตร์จารย์ทั้งคู่เลย) มีสวัสดิการทุกคน ทุกคนเสมอภาคเท่ากัน อาจเพราะอย่างนี้ก็ได้ Linux จึงปล่อยฟรีโดยไม่คิดเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่ทุกอย่างก็มาจากทำ"เอามัน"ของไลนุสทั้งสิ้น พี่แกชอบความท้าทาย เขาอยากได้รับคำติชมเยอะๆ เพื่อที่ว่าจะลองท้าทายตัวเองว่าจะแก้ปัญหาได้มั้ย โดยพี่แกเชื่อว่า ถ้าทุกคนได้ทำอาชีพที่ตัวเองรัก ด้วยการทำเอามันแบบนี้แหละ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ทุกอย่างจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเหมือน Opensorce อย่างแน่นอน
การทำด้วยใจรัก เมื่อพบปัญหา ย่อมไม่ถอดใจง่ายๆหรอก
คุณคิดว่าไงครับ?
สัมภาษไลนัสใน TED (มีซับไทย)
Software is like sex: it's better when it's free. -Linus Torvalds The founder of Linux |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น