Sponsor

21 ธันวาคม 2565

Dixie's Land sheet music - โน้ตเพลงดิ๊กซี่ส์แลนด์


Dixie หรือ Dixie's Land เป็นเพลงชาติอย่างไม่เป็นทางการของสมาพันธรัฐอเมริกา(อเมริกาฝ่ายใต้ในช่วงสงครามกลางเมือง) เป็นเพลงที่มีความสนุกสนานและคุ้นหู และเพลงนี้ยังเป็นเพลงโปรดของประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น อีกด้วย

https://sheetdownload.com/Traditional/Dixie-Land/8770

เพลงดิ๊กซี่ส์แลนด์
Key C
เทียบเป็นโน้ตตัวอักษรต่างๆ
ด=โด=C=1, ร=เร=D=2, ม=มี=E=3, ฟ=ฟา=F=4, ซ=โซ=G=5, ล=ลา=A=6, ท=ที=B=7.

ซมดดดรมฟซซซ มลลล ซล ซลทดํรํมํ ดํซดํ ซมซ รมด
ซมดดดรมฟซซซ มลลล ซล ซลทดํรํมํ ดํซดํ ซมซ รมด
ซซดํมํรํดํลดํ ลรํ ลรํ
ซดํมํรํดํลทดํ ลซมดํมร มด มร
ลซมดํมํรํดํ มด มร ลซมมํ ดํรํดํ




อ้างอิง
ดาวโหลดโน้ตเพลงนี้เป็น PDF ได้ที่ https://sheetdownload.com/Traditional/Dixie-Land/8770
https://en.wikipedia.org/wiki/Dixie_(song)

20 ธันวาคม 2565

The Marine's Hymn sheet music - โน้ตเพลงมารินมาร์ช (Marine march)

https://picryl.com/media/the-marines-hymn

เพลงมารีนส์ฮีมน์(Marines hymn) หรือบ้านเรานิยมเรียกว่ามารีนมาร์ช(Marine march) เป็นเพลงปลุกใจของนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา และเป็นเพลงทางการของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา โดยทั่วไปมักบรรเลงในงานพิธีการ และการดื่มอวยพร ทั้งยังเป็นเพลงยอดนิยมของวงโยธวาทิตในบ้านเราด้วย เนื่องจากเล่นง่ายและมีท่องทำนองสนุกสนาน เล่นซ้ำวนไปวนมาได้เรื่อยๆในการเดินขบวน เอามาให้เพื่อนๆได้ลองเล่นกันดูครับ
พอดีว่าครั้งก่อนแนะนำโปรแกรมเขียนโน้ตเพลงไป ก็เลยลองเอาโปรแกรม NtEd บน Linux Zorin OS 16.2 Lite มาลองเขียนโน้ตดูสักหน่อยล่ะกัน เขียนมาในแนว Fakebook มีโน้ตและคอร์ดหลักๆมาเป็นไกด์ให้พอนำไปเรียบเรียงต่อได้ด้วยตนเอง โปรแกรม NtEd นี้ต้องงมนิดนึง จัดฟอร์มยุ่งยากหน่อย เช่น พวกการเว้นบรรทัดยังไม่รู้วิธีจัดการ อย่างโน้ตเพลงนี้จริงๆอยากจะให้ห้องสุดท้ายอยู่รวมกับบรรทัดที่ 4 จะได้ดูเรียบร้อย แต่ไม่รู้จะจัดการยังไงเหมือนกัน คงต้องทำความคุ้นเคยอีกสักหน่อย แต่ถ้าไม่อะไรมาก เขียนทางเดินโน้ตแบบง่ายๆ ก็ทำได้สบายๆครับ


เพลงมารินมาร์ช (Marine march)
Key C
เทียบเป็นโน้ตตัวอักษรต่างๆ
ด=โด=C=1, ร=เร=D=2, ม=มี=E=3, ฟ=ฟา=F=4, ซ=โซ=G=5, ล=ลา=A=6, ท=ที=B=7.

ดมซซซซซ ดซ มฟ ซซฟร ด
ดมซซซซซ ดซ มฟ ซซฟร ด
ดํทลฟลฟซ ลซ ดํทลฟลดํ ซ
ดมซซซซซ ดซ มฟ ซซฟร ด


แถม
เจอวิธีจัดบรรทัดใน NtEd แล้วครับ ให้ปรับ 2 จุด คือ File/Change Scale และ Edit/Change Spacement ค่อยๆปรับไปจนกว่าจะลงตัว มันจะปรับขนาดและเพิ่ม/ลดระยะห้องในแต่ละบรรทัด

อ้างอิง

15 ธันวาคม 2565

3 โปรแกรม Opensource สำหรับเขียนโน้ตเพลง

โปรแกรมเขียนโน้ตเพลงในบรรดา Opensource ที่ลองใช้มา ผมสรุปที่น่าใช้สำหรับนักดนตรีมาให้เลือกกัน 3 โปรแกรมครับ ฟรีทุกโปรแกรม ดังนี้เลย

MuseScore
เป็นโปรแกรมเขียนโน้ตเพลงที่ครบเครื่องที่สุดในขณะนี้ ทำโน้ตออกมาดูสวยงามได้มาตรฐาน มีเครื่องมือครบครัน แต่ก็อาจจะงงนิดหน่อยในตอนแรกเพราะเครื่องมือเยอะ แต่ศึกษาสักพักก็เข้าที่ เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์สเป็คปัจจุบัน เพราะกินเครื่องอยู่มากพอสมควร ถ้าเปิดกับคอมฯเก่าๆมีค้าง

MuseScore

เป็นโปรแกรมเล็กๆ มีเครื่องมือเขียนโน้ตได้สะดวกพอสมควร บางอย่างอาจต้องมๆหน่อย แต่ก็ใช้ได้ไม่ยาก หน้าตาจะดูเชยๆ ไม่กินสเป็ค เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์เก่าๆ Export ออกมาได้หลากหลายรูปแบบ

NtEd

ตัวนี้ทำออกมาเหมือนโปรแกรม Guitar Pro เหมาะสำหรับคนที่ถนัดกีต้าร์ จะเขียนโน้ตเพลงได้สะดวก และสามารถทำ TAB guitar ได้

TuxGuitar

แถม
สำหรับคนที่ชอบเขียนโน้ตด้วยมือ สามารถเข้าเว็บนี้ https://www.edition-kainhofer.com/en/empty-scoresheets.html เพื่อปริ้นบรรทัด 5 เส้นเปล่าออกมาได้  ฟรี สามารถปรับแต่งและเลือกได้หลายแบบหลายขนาด

13 ธันวาคม 2565

การเล่นดนตรีเพื่อบำเพ็ญจิตใจ

Photo by Pixabay: https://www.pexels.com/photo/red-and-white-flower-on-music-note-164948/

ดนตรีนั้นส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ได้ คำว่า ดนตรี ในภาษาจีนโบราณเขียนว่า 樂 ส่วนคำว่า ยารักษาโรค เขียนว่า 藥 จะเห็นว่าคำว่า ยารักษาโรค นั้นแค่เติมสัญลักษณ์ 艹 ที่หมายถึง หญ้าสมุนไพร เอาไว้บนคำว่า ดนตรี เท่านั้นเอง แสดงให้เห็นว่าในทางปรัชญาจีนถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรค และปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพยท์ก็ได้ค้นพบแล้วว่าดนตรีสามารถช่วยรักษาความเจ็บป่วยได้จริงๆ

เครื่องดนตรีนั้นหากจะมองว่าเป็นเพียงแหล่งกำเนิดเสียงก็ย่อมได้ สามารถเอาไปสร้างสรรค์บทเพลงเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปใช้ทำอะไร เช่น นักปกครองใช้เพื่อพิธีการ ชาวบ้านใช้เพื่อความรื่นเริง เป็นต้น แต่เครื่องดนตรียังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบำเพ็ญจิตใจได้ด้วย เช่น พระธิเบตเคาะขันธิเบตเพื่อบำเพ็ญสมาธิภาวนา ชาวฮินดูสวดมนตรา เช่น โอม เพื่อบำเพ็ญสมาธิภาวนาด้วยเช่นกัน เหมือนหลักการของความถี่บำบัด

t.ly/UL-m
ในการบรรเลงดนตรีนั้น นอกจากขณะบรรเลงจะต้องใช้สมาธิแล้ว โน้ตเพลงที่เหมาะสมยังสามารถช่วยให้จิตใจสงบ ลดอัตตาตัวตน ยกระดับจิตวิญญาณ เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับการดำรงอยู่ได้ แต่ว่า แล้วเราจะเล่นเพลงอะไรดีล่ะเพื่อขัดเกลาตนเอง? โดยส่วนตัวข้าพเจ้ารู้สึกว่าโน้ตเพลงประเภท Hymn (ฮีมน์), Christmas (คริสต์มาส), และ Gospel (กอสเปล), ฯลฯ ซึ่งเป็นเพลงทางศาสนาที่ใช้ในการร้องเพลงสวดโดยเหล่านักบวช โน้ตและท่วงทำนองจึงอาจสอดคล้องกับความสงบของจิตใจได้ ทำให้รู้สึกว่าเหมาะควรอยู่เหมือนกันที่จะนำมาบรรเลงในแนวทางของการบำเพ็ญตน แต่เพลงทั่วไปที่ตนเองชื่นชอบก็อาจจะนำมาบรรเลงในแนวทางนี้ได้ บางที มันอาจขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์หรือท่าทีในการบรรเลงมากกว่าแนวเพลง บางที มันอาจเป็นเพลงที่บรรเลงออกมากจากส่วนลึกภายในจิตใจของตนเองก็ได้
การบรรเลงดนตรีในแนวทางนี้ไม่ได้เป็นการโชว์ความเก่งกาจเพื่อข่มใคร แต่เป็นการบรรเลงเพื่อเน้นขัดเกลาจิตใจตัวเองเป็นหลัก ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร และหากมีใครได้ฟังแล้วก็รู้สึกสงบไปด้วยก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร เหมือนดอกไม้ที่ผลิบานจากภายในของมัน ไม่ว่าจะมีคนชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าจะมีคนชื่นชมหรือไม่ชื่นชม มันก็ยังคงผลิบานอย่างที่มันเป็น แม้จะอยู่กลางป่าลึกที่ไม่มีใครเห็น มันไม่ได้ผลิดอกเพราะได้รับคำชมและมันไม่ได้หยุดผลิดอกเพราะไม่ได้รับคำชม มันก็ยังคงผลิดอกอย่างเบิกบานต่อไป เพราะนั่นคือการตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเอง

ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดนตรีที่สามารถใช้ขัดเกลาจิตใจได้เท่านั้น การกระทำที่สร้างสรรค์ทุกอย่างหรือการงานทั้งหลายสามารถใช้ในบำเพ็ญตนนี้ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การเดินจงกรม, การรำมวย, การทำโยคะ, การเต้น, การเขียนบทกวี, การขับขานร้องเพลง, วาดภาพ, ฯลฯ จะใช้อะไรก็ขึ้นอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน ต่างคนต่างต้องค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง อาจไม่จำเป็นต้องแค่สิ่งเดียว หลายสิ่งก็ได้ แล้วแต่โอกาสและความเหมาะสม อย่าได้พลาดการตระหนักรู้ในทุกมิติของความเป็นมนุษย์ และที่เหลือก็อยู่ที่เจตนาว่าจะใช้มันเป็นเครื่องมือไปสู่อะไร ไม่มีผิดมีถูก ไม่มีอะไรดีกว่าหรือด้อยกว่า ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีการข่มทับ ดอกบัวไม่จำเป็นต้องข่มดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบไม่จำเป็นต้องข่มดอกบัว เพราะมันเอามาแทนกันไม่ได้ บัวไม่อาจผลิดอกเป็นดอกกุหลาบ กุหลาบไม่อาจผลิดอกเป็นดอกบัว ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร ไม่มีใครเหนือกว่าใครและไม่มีใครด้อยกว่าใคร ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ในแบบของตน มีเอกลักษณ์ไม่ได้หมายความว่าพิเศษกว่าหรือด้อยกว่า มีเพียงการดำรงอยู่ในสิ่งที่ตนเองเป็นอย่างแท้จริง เพราะแต่ละคนเกิดมาก็เพื่อผลิดอกในแบบที่ตนเองเป็น ไม่ใช่เพื่อผลิดอกในแบบที่ผู้อื่นเป็น


แถม
แจกโน้ตเพลงแนว Hymn ต่างๆ ฟรี ที่ http://openhymnal.org/ มีทั้ง .pdf และ .abc และอื่นๆ หากต้องการนำโน้ตในเว็บนี้มาเปลี่ยนคีย์อย่างรวดเร็ว ให้เอาไฟล์โน้ต .abc หรือโค้ดในไฟล์ใส่เข้าไปที่ https://colinhume.com/Music.aspx แล้วกด Convert จากนั้นกดที่ Change key เพื่อเปลี่ยนคีย์ และดาวน์โหลดออกมาเป็นไฟล์ .pdf รายละเอียดสูงได้ที่ Print (PDF)

เว็บแจกโน้ตแนว Hymn เพิ่มเติม
https://www.pdhymns.com/ <=== เว็บนี้มีโน้ตรูปทรง(Shape note)ให้เลือกด้วย (โน้ตรูปทรงช่วยให้อ่านโน้ตเป็นคีย์ C ได้ง่ายโดยไม่ต้องเปลี่ยนคีย์)

คลิปนี้สามารถเปิดซับไทยได้ครับ

Image by VinaConstanze from Pixabay https://pixabay.com/photos/figure-krishna-hinduism-3045554/

10 ธันวาคม 2565

ศาสตร์แห่งความหน้าด้านใจดำ

ศาสตร์แห่งความหน้าด้านใจดำ (厚黑學 หนาดำศึกษา Thick Black Theory โดย หลี่จงอู๋ 李宗吾 Li Zongwu)

หน้า หนาประกาศอ้าง ตนดี
ด้าน ว่าคุณธรรมมี มากล้น
ใจ เหี้ยมโหดกาลี ซ่อนลึก
ดำ สุดอำมหิตพ้น ผิดเพี้ยนมนุษย์มนา
-ส. สุวรรณ

หลี่จงอู๋ (ผู้รจนาหนังสือศาสตร์แห่งความหน้าด้านใจดำ 厚黑學 หนาดำศึกษา Thick Black Theory) เผยว่า ตั้งแต่อ่านออกเขียนได้ท่านก็ใฝ่ฝันจะเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกล้าสามารถ จึงแสวงหาวิธีทำให้ตนเองเป็นวีรบุรุษ ท่านอ่านหนังสือมากมายทั้ง 4 ตำรา 5 คัมภีร์ของลัทธิขงจื่อ และประวัติศาสตร์จีน 5,000 ปี 24 ชุด จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบวิธีเป็นวีรบุรุษ ท่านจึงเริ่มเชื่อว่าบุคคลในสมัยโบราณที่สร้างตัวเป็นวีรบุรุษได้ต้องไม่เปิดเผยเคล็ดลับเป็นแน่ กระนั้นท่านก็ยังไม่ย่อท้อ ยังคงค้นหาต่อไป กระทั่งวันหนึ่ง ท่านฉุกคิดถึงตัวละครเอกในสามก๊ก จึงรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาทันใด บุคคลในสมัยโบราณที่สร้างตัวเป็นวีรบุรุษได้ แท้จริงมาจากความหน้าด้านใจดำ!
ท่านนำเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์มาศึกษา ไล่อ่านประวัติศาสตร์จีน 24 ชุดอีกรอบ จึงได้ข้อสรุปว่า ประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ที่แท้คือประวัติศาสตร์ของคนหน้าด้านใจดำนั่นเอง

หลิวปังขณะกำลังหนีการไล่ล่าของทหารฌ้อปาอ๋อง เพื่อให้รถเบาลงจะได้วิ่งเร็วขึ้น ถึงกับถีบลูกแท้ๆของตัวเองตกจากรถม้า
เล่าปี่ขณะหนีกองทัพโจโฉ ร้องไห้สงสารประชาชนให้ทิ้งเมืองหนีมาด้วยกันเพื่อหลอกใช้ประชาชนเหล่านั้นเป็นโล่มนุษย์
ซุนกวนสังหารกวนอูแล้วยังทำไม่รู้ไม่ชี้ โยนความผิดไปให้โจโฉหน้าตาเฉย
โจโฉฆ่าแปะเฉียผู้ให้ที่หลบภัย ทั้งยังกล่าว่า "ข้าขอทรยศผู้อื่น ดีกว่าให้ผู้อื่นทรยศข้า" ทั้งยังบังอาจปลงพระชนม์พระมเหสีกับพระราชกุมาร
สุมาอี้ยอมถูกดูหมิ่นว่าเป็นไอ้หน้าตัวเมีย ยอมกระทั่งใส่กระโปรงผู้หญิงที่ขงเบ้งส่งไปให้(ท่านหลี่จงอู๋อ่านถึงฉากนี้ ถึงกับตบโต๊ะดังปัง แล้วตะโกนว่า "มิน่าเหล่า แผ่นดินทั่วหล้าจึงตกเป็นของตระกูลสุมาอี้!)
และอีกมากมายที่ท่านหลี่จงอู๋ยกมา

ตลอดระยะเวลา 5,000 ปี แห่งประวัติศาสตร์จีน วีรบุรุษทั้งหลายล้วนเจนจบศาตร์แห่งความหน้าด้านใจดำ หลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจนมิอาจโต้แย้ง หากสามารถศึกษาได้ตามแนวทางนี้ คงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
คนจะเป็นใหญ่ได้ ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

=======

เคล็ดวิชาหน้าด้านใจดำมี 3 ขั้น

ขั้นที่ 1 ทำให้หน้าหนาเหมือนกำแพงเมือง ใจดำเหมือนถ่านหิน
คือการค่อยๆฝึกฝนไปเรื่อยๆจนเริ่มหน้าด้านและใจดำ

ขั้นที่ 2 ทำให้หน้าหนาและทนทาน ใจดำและแวววาว
คือต้องไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดและทำออกมาให้ดูดี

ขั้นที่ 3 ทำให้หน้าหนาแต่ไร้รูป ใจดำแต่ไร้สี
คือทำให้ผู้คนทั่วหล้าคิดว่าหน้าบางทั้งที่หน้าด้าน และขาวสะอาดทั้งที่ใจดำ
นี่คือมรรคาแห่งความหน้าด้านใจดำขั้นสูงสุด
😈

อ้างอิง
เรียบเรียงจาก ศาสตร์แห่งความหน้าด้านใจดำ (厚黑學 หนาดำศึกษา Thick Black Theory) ส. สุวรรณ แปล
รีวิวหนังสือศาสตร์แห่งความหน้าด้านใจดำ https://www.facebook.com/theravenlibrary/photos/a.114040253341311/125638918848111/
เคล็ดวิชาหน้าด้านใจดำ 3 ขั้น https://www.facebook.com/theravenlibrary/photos/a.111625733582763/125786645500005/

บัญญัติ 7 ประการของการโฆษณาชวนเชื่อ ของ โยเซฟ เกิบเบิลส์ (Joseph Goebbels)

Image by Tayeb MEZAHDIA from Pixabay
https://pixabay.com/photos/propaganda-revolution-people-3543257/

บัญญัติ 7 ประการของการโฆษณาชวนเชื่อ
ของ โยเซฟ เกิบเบิลส์ (Joseph Goebbels)

1. การโจมตีตัวบุคคล สร้างศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตี แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัวและคำพูดทุกคำพูดของคนๆ นั้น

2. พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก คนจะเริ่มหลงเชื่อถ้าได้ยินเรื่องเดิมซ้ำเป็นประจำ

3. โกหกคำโต การโกหกเรื่องใหญ่ๆ เพื่อหลอกให้เชื่อ ย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆ หลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีความจริงใดๆ อยู่เลย

4. สร้างสมญานาม การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ จะได้จดจำง่าย

5. ตรรกะแบบขาว-ดำ ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูก ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิดทันที

6. ชูธงสูงส่ง ต้องอ้างแนวคิดของตนให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ ใช้ข้อความที่ดูดี

7. ควบคุมข้อมูลที่จะผ่านสื่อ ต้องบอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง เมื่อสื่อเข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก ยิ่งดูน่าเชื่อถือ

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/125945
https://www.matichonweekly.com/column/article_626998

02 ธันวาคม 2565

โน้ตเพลงสรรเสริญพระบารมี - Glorify His Prestige sheet music

https://musescore.com/user/30614/scores/2074381

เพลงสรรเสริญพระบารมี
Key C
เทียบเป็นโน้ตตัวอักษรต่างๆ
ด=โด=C=1, ร=เร=D=2, ม=มี=E=3, ฟ=ฟา=F=4, ซ=โซ=G=5, ล=ลา=A=6, ท=ที=B=7.

| ดรดรมด ดทฺดทฺดมร รมรมด รมดรม
มรมรมซม ลซลดํซ ลซลดร รรรฟมรมด
รมรมดร รมรมดล รํดด ลซลดํซ
ลซฟซ ลดํฟซล ซลดํมํรํ ดํดํ |

ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน นบพระภูมิบาล บุญดิเรก เอกบรมจักริน พระสยามินทร์ พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์ ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย ดุจถวายชัย ชโย

เป็นบทเพลงที่ไพเราะ ซาบซึ้งกินใจอย่างที่สุด

โน้ตเพลงต้นฉบับเป็นคีย์ Eb หากต้องการเล่นความถี่เสียงเดียวกับต้นฉบับ ก็ใช้ฮาร์ปคีย์ Eb ครับ


อ้างอิง

โน้ตเพลงชาติไทย - Thai National Anthem sheet music

โน้ตเพลงชาติไทยอย่างเป็นทางการ - Thai National Anthem sheet music (official)

เพลงชาติไทย
Key C
โน้ตตัวเลขมีเขียนกำกับไว้บนโน้ตสากลแล้ว
เทียบเป็นโน้ตตัวอักษรต่างๆ
ด=โด=C=1, ร=เร=D=2, ม=มี=E=3, ฟ=ฟา=F=4, ซ=โซ=G=5, ล=ลา=A=6, ท=ที=B=7.

| ซฺดมซ ซซล ซฟล ซ ม
มฟมรร รรมร ดด
ดมซ ซซล ซฟลซ
ซลทซ รํ ลทล ซ
ซลซฟร ฟลซมด
ดมร รรล ทลซ
ดดมซ ซซล ทดํรํมํ
รํดํลซ ลทดํมํ ดํรํดํดํ |

ดนตรีอินโทรตอนเริ่มเพลง ใช้ชุดโน้ตเดียวกับสองบรรทัดสุดท้าย

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย

17 พฤศจิกายน 2565

ทำความรู้จักกับการเรียงโน้ตและการตั้งเสียงของฮาร์โมนิก้าแบบต่างๆ


สวัสดีครับชาวบูลส์ฮาร์ปทุกท่าน ห่างหายไปนานกับบทความฮาร์โมนิก้า เดี๋ยวนี้ฮาร์ปมีหลากหลายขึ้นมาก เรามารู้จักกับเรื่องการเรียงโน้ตและการตั้งเสียงของฮาร์ปกันดีกว่าครับ จะได้ซื้อฮาร์ปได้ตามวัตถุประสงค์และแนวการเล่นของตัวเอง ซึ่งในที่นี้จะกล่างถึงเฉพาะฮาร์ป Diatonic (ไดอะโทนิค) นะครับ เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยครับ

Easttop T008K
ไม่ได้ระบุอะไรเป็นพิเศษ
จึงเป็นการเรียงโน้ตมาตราฐาน Richter
การเรียงโน้ตของฮาร์โมนิก้า
การเรียงโน้ตมาตราฐานของฮาร์ปเรียกกันว่า Richter Tuning (ริชเตอร์ จูนนิ่ง) พัฒนาโดย Joseph Richter (โจเซฟ ริชเตอร์) ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 จนกลายเป็นมาตราฐานของฮาร์ปเกือบทุกชนิดในปัจจุบัน โดยใช้โน้ตในบันไดเสียง Major (เมเจอร์) เป็นหลัก

ตัวอย่าง Richter Tuning คีย์ C

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
-----------------------------
เป่า: |C |E |G |C |E |G |C |E |G |C |
ดูด : |D |G |B |D |F |A |B |D |F |A |
-----------------------------

การเรียงโน้ตนอกเหนือจากนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเรียงโน้ตตามบันไดเสียงต่างๆ เช่น Natural minor Tuning, Harmonic minor Tuning, ฯลฯ ซึ่งโน้ตเหล่านี้ก็เรียงโน้ตไปตามลำดับของบันไดเสียงตามโครงสร้าง Richter Tuning ถ้าต้องการเล่นบันไดเสียงเหล่านี้ก็ต้องเลือกดูบันไดเสียงที่ต้องการให้ดีครับ

ตัวอย่าง Natural minor Tuning คีย์ Cm

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
-----------------------------
เป่า: |C |Eb|G |C |Eb|G |C |Eb|G |C |
ดูด : |D |G |Bb|D |F |A |Bb|D |F |Ab|
-----------------------------

ตัวอย่าง Harmonic minor Tuning คีย์ Cm

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
-----------------------------
เป่า: |C |Eb|G |C |Eb|G |C |Eb|G |C |
ดูด : |D |G |B |D |F |Ab |B |D |F |Ab|
-----------------------------

จะเห็นว่าเป็นการเรียงโน้ตตามบันไดเสียงต่างๆโดยใช้โครงสร้างแบบ Richter Tuning นั่นเอง

มีระบุว่า Paddy ไว้บนฮาร์ปและกล่อง

ยังมีการเรียงโน้ตอื่นๆที่ควรจะรู้จักไว้อีกสักหน่อยครับ
Paddy หรือ Paddy Richter Tuning เป็นการเรียงโน้ตที่พัฒนาโดย Brendan Power เพื่อให้เล่นเพลงพื้นเมืองไอริช(traditional Irish)ได้ง่ายขึ้น โดยมีความแตกต่างอยู่ที่ช่องที่ 3 โน้ตเป่าแค่ตัวเดียว

ตัวอย่าง Paddy Richter Tuning คีย์ C

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
-----------------------------
เป่า: |C |E |A |C |E |G |C |E |G |C |
ดูด : |D |G |B |D |F |A |B |D |F |A |
-----------------------------

Marine Band 364/24 12 ช่อง
มีการเรียงโน้ตแบบ Richter Tuning
และ Solo Tuning
Solo Tuning มักจะเป็นฮาร์ป 12 ช่องขึ้นไป ตั้งเสียงเหมือนฮาร์ป Chromatic ตอนที่ยังไม่ได้กดปุ่ม เล่นโน้ตหลักๆได้ 3 Octave ครบทุกตัวโดยไม่ต้องเบนดิ้ง (แต่ฮาร์ป 12 ช่องส่วนใหญ่จะตั้งเสียงแบบ Richter Tuning ดังนั้นต้องดูรายละเอียดให้ดี)

ตัวอย่าง Solo Tuning คีย์ C

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
-----------------------------
เป่า: |C |E |G |C |C |E |G |C |C |E |G |C |
ดูด : |D |F |A |B |D |F |A |B |D |F |A |B |
-----------------------------

ตัวอย่าง Richter Tuning 12 ช่อง คีย์ C

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
-----------------------------
เป่า: |C |E |G |C |E |G |C |E |G |C |E |G |
ดูด : |D |G |B |D |F |A |B |D |F |A |B |D |
-----------------------------

Lucky 13
เพิ่ม Low key 3 ช่องแรก
ช่องที่เหลือเหมือนปกติ
Lucky 13 Richter Tuning การเรียงโน้ตนี้พัฒนาโดย Brendan Power เป็นฮาร์ป 13 ช่อง โดยเพิ่มช่อง 1, 2, 3, ที่เป็น Low key เสียงต่ำพิเศษมาอีกชุดหนึ่ง(โน้ตเดียวกับช่อง 1 2 3 แต่เสียงต่ำกว่า) ส่วนช่องที่เหลือเหมือนฮาร์ป 10 ช่องมาตราฐาน รวมเป็น 13 ช่อง ทำให้เล่นโน้ตได้กว้างถึง 4 Octave ได้ยินว่ากำลังมีความพยายามผลักดันให้เป็นมาตราฐานทางเลือกของใหม่ของฮาร์ปด้วย (อารมณ์เหมือนกีต้าร์ 7 สาย ที่เพิ่มสายเสียงต่ำมาอีกเส้นนึง อะไรทำนองนั้น) เท่าที่ทราบมาตอนนี้มีเพียงยี่ห้อ Easttop เท่านั้นที่ผลิตฮาร์ปรุ่นนี้ตามที่ Brendan เสนอ ถ้าสนใจก็ต้องดูให้ดี เพราะ Lucky 13 มีการเรียงโน้ตหลายแบบมาก อย่างน้อยก็ 7 แบบเลยล่ะครับ Richter, Diminished, Paddy, Power-Bender, Power-Chromatic, Power-Draw, Solo ถ้าต้องการที่เหมือนกับฮาร์ปมาตราฐานก็ต้องดูที่เป็น Lucky 13 Richter ก็จะเป็น Richter Tuning ตามมาตราฐานครับ(ตามตัวอย่างข้างล่าง) ซึ่งเป็นมาตราฐานที่ Brendan Power กำลังผลักดัน แม้จะเป็น 13 ช่อง แต่ไม่ได้นับถึง 13 แต่จะนับเป็น 1, 2, 3, 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 โดยใช้เลขซ้ำช่อง 1 2 3 สองรอบ โดยรอบแรกจะมีแต้มข้างล่าง เพื่อบอกว่าโน้ตเหมือนกับช่อง 1 2 3 แต่เสียงต่ำกว่านั่นเอง

ตัวอย่าง Lucky 13 Richter Tuning คีย์ C

1, 2, 3, 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
-----------------------------
เป่า: |C |E |G |C |E |G |C |E |G |C |E |G |C |
ดูด : |D |G |B |D |G |B |D |F |A |B |D |F |A |
-----------------------------

นี่แค่ส่วนหนึ่งในการเรียงโน้ตของฮาร์ปเท่านั้น ยังมีอีกหลายแบบมากมาย ดังนั้น ถ้าจะเลือกฮาร์ปก็ต้องดูดีๆว่ามันเป็น Tuning แบบไหน อยากได้แบบไหน บันไดเสียงอะไร ถ้าไม่ได้ระบุอะไรเอาไว้มักจะเป็น Richter Tuning มาตราฐานสากลครับ

=======

การตั้งเสียงของฮาร์โมนิก้า
เรื่องการเรียงโน้ตก็จบไปแล้ว ยังมีเรื่องตั้งเสียงโน้ตอีก 2 แบบที่ใช้ในการตั้งเสียงฮาร์ป คือ Just Intonation และ Equal Temperament

Just Intonation เป็นการตั้งเสียงแบบเน้นความกลมกลืนของความถี่เสียงตามธรรมชาติครับ สมมติว่าเป็นเปียโน ถ้าตั้งเสียงเปียโนให้กลมกล่อมในคีย์ C มันก็จะกลมกล่อมในคีย์ C เท่านั้นครับ แต่ถ้าเล่นเพลงอื่นที่ต้องเปลี่ยนคีย์ ก็ต้องตั้งเสียงกันใหม่หมดทั้งหลังเพื่อความกลมกลืนของความถี่เสียงในคีย์นั้นๆ (เป็นการตั้งเสียงแบบดั้งเดิม)
สำหรับฮาร์ปแล้ว 1 ตัวจะมีคีย์เดียว ดังนั้นการตั้งเสียงให้กลมกลืนแบบ Just Intonation จึงไม่เป็นปัญหา เพราะเมื่อเปลี่ยนคีย์ก็เปลี่ยนฮาร์ปครับ ฮาร์ปทั่วไปจึงตั้งเสียงแบบ Just Intonation เป็นมาตราฐานครับ

Gold Melody
ตั้งเสียงแบบ Equal
Equal Temperament จะเป็นการตั้งเสียงตามหลักการสมัยใหม่ที่กำหนดความถี่ตายตัวของโน้ต(ด้วยการแบ่งความถี่ออกมาในสัดส่วนที่เท่าๆกัน) โดยไม่สนใจความกลมกล่อมเมื่อเล่นคอร์ด(หรือเล่นเสียงประสาน) เพื่อความเป๊ะของความถี่ มาตราฐานนี้ทำให้เครื่องดนตรีที่กำหนดลิ่มโน้ตแบบตายตัว เช่น เปียโน ฯลฯ สะดวกในการเล่นคีย์อื่นๆโดยไม่ต้องตั้งเสียงใหม่ทั้งหลัง การตั้งเสียงแบบนี้จึงเน้นไปที่การตั้งความถี่โน้ตให้ตรงหลักการที่กำหนดไว้อย่างตายตัว
สำหรับฮาร์ปการตั้งเสียงแบบนี้ทำให้เล่นเมโลดี้ได้ดี เหมาะสำหรับนักโซโล่ เสียงจะโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เล่นคอร์ดจะไม่เหมาะ เสียงจะแปร่งนิดๆ แต่ไม่ใช่ว่าเล่นคอร์ดไม่ได้นะครับ เล่นได้ แต่เสียงจะไม่กลมกล่อมเท่าฮาร์ปมาตราฐานที่เล่นคอร์ดก็ได้โซโล่ก็ดี ฮาร์ปที่ตั้งเสียงแบบ Equal Temperament ได้แก่ Hohner Golden Melody, Suzuki Olive เป็นต้น

การตั้งเสียงแบบทั้งสองอย่างนี้โน้ตก็ตรงทั้งคู่นะครับ จะต่างกันที่บางความถี่เพียงเล็กน้อย เล่นโน้ตเดี่ยวๆจะไม่ค่อยส่งผล จะส่งผลเมื่อเล่นหลายโน้ตพร้อมกัน(เล่นคอร์ด)


สรุป
ฮาร์ปโดยทั่วไปถ้าไม่ระบุอะไรเป็พิเศษก็จะเรียงโน้ตแบบ Richter Tuning และตั้งเสียงแบบ Just Intonation ซึ่งเป็นมาตราฐานของฮาร์ปอยู่แล้วครับ แต่การตั้งเสียงแบบ Equal Temperament ก็ไม่ระบุอะไรเช่นกันแต่จะมีบอกในเว็บไซต์ของผู้ผลิตในหน้าข้อมูลฮาร์ปรุ่นนั้นๆครับ

=======
แถม

A440 บน Marine Band รุ่นเดิม
ใครที่เคยใช้ Hohner Marine Band รุ่นก่อน(ที่ยังทาเคลือบสี) คงเคยสังเกตุเห็นรอยปั้ม A440 บนฮาร์ปกันมาบ้าง รอยปั้มนี้บอกว่าเป็นการจูนเสียงโดยใช้ความถี่หลักคือ A(ลา) ที่ความถี่ 440Hz และเทียบไปจนครบทุกโน้ตโดยใช้ตัว ลา 440Hz เป็นหลัก
แต่ว่าปัจจุบันมาตราฐานการจูนเครื่องดนตรีที่กำหนดเสียงตายตัวจะเทียบไว้ที่ A442 เช่น Electric Keyboard, Melodian, Vibraphone, Electric Piano เป็นต้น และวงออร์เคสตราทั่วโลกในปัจจุบัน 99% ตั้งที่ความถี่นี้(แต่เยอรมันนิยมที่ A443 (?)) ทำให้มีแรงกดดันในการตั้งเสียงฮาร์ปกันใหม่ เท่าที่ผมได้ลองเทียบเสียงดู ฮาร์ปในปัจจุบันน่าจะเป็นมาตราฐานใหม่คือ A442 กันหมดแล้วครับ และเท่าที่เห็น Hohner Marine Band ปัจจุบันก็ไม่มีรอยปั้มว่า A440 แล้ว
ดังนั้น หากเล่นร่วมกับวงดนตรีที่เป็นเครื่องสายที่ปรับเสียงได้ เช่น กีต้าร์ เป็นต้น ก็ควรแนะนำให้นักกีต้าร์ตั้งค่าเครื่อง(หรือแอพ)ตั้งเสียงเป็น A442 ด้วย เพื่อให้ความถี่ตรงกัน เพราะเครื่องตั้งเสียงทั่วไปยังตั้งค่าปริยาย(Default)เป็น A440 อยู่ครับ
อันที่จริง แม้ว่าความถี่จะต่างกันเล็กน้อยแต่ยังสามารถเล่นร่วมกันได้ครับ เสียงอาจจะแปร่งไปบ้างเท่านั้น แค่เล็กน้อยจนสังเกตได้ยาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรปรับให้ตรงกันจะดีกว่าครับ

13 พฤศจิกายน 2565

โน้ตเพลง คู่กัด - เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์



เพลงไทยในตำนานที่ไม่เคยล้าสมัย ต้นฉบับเพลงนี้เป็นคีย์ F ครับ ผมแปลงเป็นคีย์ C จะได้ง่ายต่อการเล่น แต่ก็มีโน้ตนอกคีย์อยู่พอสมควร เช่น มb กับ ลb ( มีแฟลต(Eb) กับ ลาแฟลต(Ab)) หากใช้เทคนิคเล่นโน้ตเหล่านี้ได้ก็ตามนั้นเลย(โน้ตพวกนี้ถ้าเล่น Harmonica ก็ต้องเบนดิ้งกับโอเว่อร์เบนกันล่ะทีนี้) แต่ถ้าเล่นไม่ได้ก็ลักไก่เล่นโน้ต ม หรือ ร แทน มb และเล่น ล หรือ ซ แทน ลb ก็ได้ ให้เลือกโน้ตที่คิดว่าฟังแล้วเนียนๆไปได้ก็เป็นอันโอเค

โน้ตที่ใช้เป็นโน้ตตัวอักษรไทย ถ้าไม่ถนัดก็สามารถเทียบเป็นวิธีอื่นๆได้ตามนี้เลยครับ
ด=โด=C=1, ร=เร=D=2, ม=มี=E=3, ฟ=ฟา=F=4, ซ=โซ=G=5, ล=ลา=A=6, ท=ที=B=7
xํ มีวงด้านบนหมายถึงโน้ตสูง, xฺ มีจุดด้านล่างหมายถึงโน้ตต่ำ

คู่กัด
เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
Key C
Arr. by Jazzylj

Intro :
มมฟซ ซมซ ฟมทดํทม มมbร รมร ดลฺมฟมรมมฟซ ซมซ ฟมทดํทล มร รมรดลฺดรรร

* :
ลมซ ซมรดรมลฺ ลมซ ซมรดรม
ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรก็เรื่องใหญ่ น้ำกับไฟ ถ้าไกลกันได้ก็ดี

ลมซ ซมซ มรดลฺ ลฺมร รมรรมร
หมากับแมว มาเจอกัน สู้กันทุกที ต่างไม่เคย มีวิธีจะพูดจา

ลมซ ซมรดรมลฺ ลมซ ซมรดรม
นกกิ้งโครง โผลงลงมาเกาะกรงนกเอี้ยง อ้อยอี๋เอียง เถียงกันตลอดเวลา

ลมซ ซมซ มรดลฺ ลฺมรร ดลฺซฺลฺด
เสือกับสิงห์ ก็ข่มกัน ขอเป็นเจ้าป่า ต่างไม่ยอมจะ พูดจาตกลงกัน

** :
มฟซล ลลbล ลลbลดํลลbล
อย่างเธอกันฉัน อันที่จริง เราก็มีหัวใจให้กัน

ลซซ ซมซ ซมซมซลซฟม
แล้วทำไม เธอกับฉัน คอยขัดกันทุกทีเรื่อยไป

ฟซล ลลbล ลซลดํลลbล
เธอก็เสือ ฉันก็สิงห์ ทั้งที่จริงไม่มีอะไร

ลซ ซลททดํรํ
รักกัน แต่ทำไม่เป็นอย่างนี้

*** :
(ล)ลมซ ซมรดรมลฺ
(ก็)ฉันกับเธอ ต้องเจอกันอีกตั้งเท่าไร

ลมซ ซมรดรม
แล้วเมื่อไร เมื่อไรจะพูดดีๆ

ลมซ ซมซ มรดลฺ
ฉันก็ยอม เธอก็ยอม ให้กันสักที

ลฺมรรดลฺซฺลฺด
จะให้ดีเธอยอมก่อนตกลงไหม

Solo :
มมฟซ ซมซ ฟมทดํทม มมbร รมร ดลฺมฟมรมมฟซ ซมซ ฟมทดํดล มร รมรดลฺซฺด
มฟซล ลลbล ลลbลดํลลbล ลซซ ซมซ ซมซลซฟมดฟซล ลลbล ลลbลดํลลbล ลซ ซลท ทดํรํ

(*,**,***)

ลฺมรรดลฺซฺลฺด
จะให้ดีเธอยอมก่อนตกลงไหม

ซฺลฺมรร ดลฺซฺลฺด
แต่จะให้ดีเธอยอมก่อนตกลงไหม

=======
แถม

เล่นโน้ตเมโลดี้แล้วก็มาเล่นคอร์ดกันต่อ ต้องขอขอบคุณเว็บไซต์ https://www.indy.in.th/chord/1145 ที่ทำระบบแปลงคอร์ดเอาไว้ ทำให้แปลงคอร์ดจากคีย์ F เป็นคีย์ C ได้อย่างรวดเร็ว หากต้องการดูคอร์ดคีย์ต้นฉบับสามารถเข้าไปดูได้ตามลิงค์ข้างต้นได้ครับ

คอร์ดเพลง คู่กัด
เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
Key C

เพลงนี้โด่งดังถึงขนาดพี่จีนยังเอาไปโคเวอร์กันเลยทีเดียว แบ่งท่อนร้องคู่ซะด้วย

10 พฤศจิกายน 2565

โต๊ะ หัวโขน และการเจริญพัฒนา

Photo by Esra Afşar: t.ly/0aOd
บางครั้งเด็กเล็กๆก็ปีนขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วก็พูดกับท่านว่า "ดูหนูสิ หนูตัวสูงกว่าพ่อแล้วเห็นมั้ย" ท่านก็คงตลกกับการเล่นของเด็กๆ แต่รู้หรือไม่ ในความเป็นจริง ผู้ใหญ่ก็ทำแบบนี้ไม่ต่างกันเลย เมื่อบางคนได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ลองดูท่าเดินสิว่าเป็นอย่างไร ตอนที่ได้เงินมากกว่า ร่ำรวยกว่าคนอื่น ลองดูกิริยาวาจาที่เขาทำกับผู้อื่นสิ มันคือสิ่งเดียวกันกับการที่เด็กเล็กๆเล่นยืนบนโต๊ะแล้วข่มว่าฉันเหนือกว่าคนอื่น มันคือเกมเดียวกันแม้บางคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ภายในยังคงไม่ต่างเด็กเล็กๆ เขาแค่เจริญเติบโต แก่ขึ้น เหมือนที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเป็นเมื่อเวลาผ่านไป เขาอาจมีอำนาจยศถามากมาย แต่ไม่ได้เจริญพัฒนา ซึ่งนั่นเป็นศักยภาพของมนุษย์ ผู้ที่ใช้หัวโขนอย่างเข้าใจ จะไม่คิดว่านั่นคือตัวตนของเขา มันเป็นเพียงสิ่งที่เขาหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือ เป็นแค่โต๊ะที่ใช้ยืนเพื่อทำงานบางอย่าง ใช้เฉพาะในหน้าที่การงาน ผู้ที่เจริญพัฒนา เขาย่อมมีความเมตตา เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เขาจะไม่ยืนอยู่บนโต๊ะแล้วข่มคนอื่นว่า "ฉันสูงกว่าแกอีกนะดูสิ แกสูงยังไม่เท้าเล็บเท้าฉันเลย" เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นแค่โต๊ะ และทุกคนก็เป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน

02 พฤศจิกายน 2565

ฟางเส้นสุดท้าย

Photo by Mikhail Nilov: t.ly/_EcZ
เมื่อเพิ่มของบรรทุกบนหลังอูฐมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดที่อูฐทนต่อไปไม่ไหว แม้จะใส่ฟางอีกเส้นเดียว(ซึ่งมีน้ำหนักเบามากๆ)ก็ทำให้อูฐหลังหักได้ มาจากประโยคที่ว่า As the last straw breaks the laden camel's back. และการ์ตูนวอลดิสนี่นิยมเอามาเล่นมุข
ในสากลใช้กันในความหมายที่กล่าวถึงความอดทนที่มีจำกัดต่อสภาวะนั้นๆ นานๆเข้าพอถึงจุดที่หมดความอดทนแม้เรื่องเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดการระเบิดอารมณ์ออกมาได้ นั่นคือสภาวะฟางเส้นสุดท้ายเป็นจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปทำให้คนทะเลาะกันกับเรื่องที่ดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาคนอื่นเพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรอีกมากมาย

บางครั้ง "เรื่องแค่นี้เอง" ที่ทำไม่ดีกับผู้อื่น อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขาก็ได้ ถ้ามีสติปัญญาพอที่จะทำดีต่อกันได้ก็ให้ทำดีต่อกันไว้จะดีกว่า เราไม่รู้หรอกว่าเขาเจออะไรมาบ้าง และไม่มีทางรู้ว่าเมื่อคุณหย่อนฟางเส้นสุดท้ายลงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง

30 ตุลาคม 2565

บาดแผล ยาชา และการเยียวยา

Photo by Tara Winstead: https://www.pexels.com/photo/close-up-view-of-band-aids-on-blue-surface-7722865/

บาดแผลย่อมบอบบาง ไม่มีใครอยากถูกแตะต้อง แต่หากไม่สามารถแตะต้องมันได้ ก็ไม่อาจทายาปิดแผลได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแผลก็จะไม่หาย เราอาจจะพ่นยาชาตลอดเวลาให้ไม่รู้สึกเจ็บก็ได้ แต่ไม่รู้สึกเจ็บกับแผลหายดีแล้วนั้นต่างกันมาก หากแผลยังอยู่ มันจะลุกลามขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องในจิตใจก็ไม่ต่างกัน การเผชิญหน้าแล้วรับ(ได้ไม่ว่าจะ)ผิด(หรือถูก)ชอบ(หรือไม่ชอบ)กับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น มันก็คือการสัมผัสแผลเพื่อทายา แล้วแผลจะจางหายไป หากยังคงทำมึนชาไม่ยอมรับรู้ มันก็จะยังคงแอบซ่อนอยู่และกำเริบขึ้นมาในจิตใจอยู่เสมอ เรื่องราวของประเทศชาติก็ไม่ต่างกัน หากเรื่องมีที่บอบบางแตะต้องไม่ได้ เรื่องนั้นก็คือแผล และหากยังไม่ยอมให้สัมผัสเผื่อทายา เพื่อแก้ไข แม้จะพยายามปกปิดปิดบังเพียงใด มันก็จะยังคงตามหลอกหลอนตราบนานเท่านานเมื่อคุณทาแผลให้สุนัขแล้วมันแสบ จะมีบางตัวที่คิดว่าคุณกำลังทำร้ายมัน และพยายามจะกัดคุณ อย่าเป็นแบบสุนัข จงเป็นมนุษย์ ที่รู้ว่านี่คือการเยียวยา ไม่ใช่ทำร้าย

เมื่อแผลหายแล้วก็ไม่ต้องคอยพ่นยาชาอีกต่อไป จากนั้นจึงก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างอิสระ

26 ตุลาคม 2565

อินเตอร์เน็ต วิทยุคลื่นสั้น และคำเล่าลือ

Photo by Handmrts: t.ly/OJgG

วิทยุคลื่นสั้น(SW) เป็นการส่งวิทยุที่ไกลกว่า FM และ AM เพราะ SW สามารส่งได้ไกลข้ามโลก เป็นเสมือนอินเตอร์เน็ตทางคลื่นวิทยุในสมัยแรกเริ่มของการสื่อสารไร้สาย โดยเฉพาะในสมัยสงคราม ที่มีการปิดกั้นสื่อทุกช่องทาง ประชาชนที่อยากฟังสื่อนอกกระแสจะต้องแอบฟังวิทยุคลื่นสั้น ในยุคนั้นบางประเทศถึงกับตรวจค้นบ้าน ยึดและทำลายวิทยุ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้ฟังข่าวสารจากต่างประเทศ ให้ฟังแต่เสียงตามสายของรัฐเท่านั้น ทำให้การครอบครองวิทยุเป็นเรื่องผิดกฏหมาย แล้วกระจายข่าวให้กับประชาชนว่า "ข่าวที่ต่างจากของรัฐนั้นเป็นข่าวปลอมทั้งสิ้น" ข่าวนอกกระแสก็จะได้มาจากการเล่าลือปากต่อปากจากนักเดินทางเท่านั้น จะเห็นว่าการข่าวเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของผู้คน ทั้งยังส่งผลต่อขวัญกำลังใจ
การปิดกั้นหรือบิดเบือนข่าวสาร ถูกนำมาใช้เสมอ เพื่อควบคุมความคิดของผู้คนให้เป็นไปในทางที่พวกเขาต้องการ แม้ในยุคอินเตอร์เน็ตอย่างปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้ก็เพียงเปลี่ยนเวทีเท่านั้น แต่ไม่เคยหายไปไหน หากลองคิดดูจะเห็นว่า การปิดกั้นหรือบิดเบือนข่าวสาร มักไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของผู้คน แต่ทำเพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าข่าวนั้นจะอยู่ในสื่อรูปแบบใดก็ตาม
การใช้วิจารณญาณ และการรับฟังและเปรียบเทียบข่าวสารจากหลายแหล่ง ก็เป็นทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อสกัดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมา นั่นจึงทำให้รัฐบางแห่งในสมัยก่อนต้องทำลายวิทยุ หรือสมัยนี้คือปิดกั้นอินเตอร์เน็ต เพื่อปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้ฟังข้อมูลข่าวสารเพื่อใช้เปรียบเทียบได้เลย ในยุคอินเตอร์เน็ตนี้วิทยุคลื่นสั้น(SW)จึงอาจเป็นแหล่งข่าวสารสำรองหากอินเตอร์เน็ตถูกปิดกั้น(เหมือนข่าวจากนักเดินทางสมัยก่อน) แต่สุดท้ายตัวเราก็คือผู้ที่จะตัดสินใจเองว่าจะดำเนินการอะไรต่อและอย่างไรให้เป็นประโยชน์มากที่สุด บางครั้งอาจจะต้องเสี่ยง เพราะเราไม่มีทางรู้ข้อมูลที่สมบูรณ์ได้เลย

แต่อย่าลืมว่า ในสภาวะสงครามนั้น ความจริงจะถูกฆ่าก่อนเสมอ

24 ตุลาคม 2565

อิสระภาพที่แท้จริงนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ

Photo by Nita: https://www.pexels.com/photo/white-dandelion-flower-shallow-focus-photography-54300/

อิสระภาพที่แท้จริงนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ ผู้คนมักคิดว่า อิสระภาพจริงๆคือทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ นั่นไม่ใช่อิสระภาพ นั่นคือความมักง่าย หยางที่ไร้หยินย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน เพราะอิสระภาพแบบมักง่ายคือการโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น มันไม่ได้นำไปสู่ความสงบใจได้เลย มีแต่การข่มเหง ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นการเข้าใจผิดอย่างมากที่สุดของคำว่าอิสรภาพ
อิสระภาพที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ท่านมีอิสระที่จะแหกปากร้องคาราโอเกะตอนเที่ยงคืน แต่ท่านก็รู้ว่าผู้อื่นก็มีอิสระภาพที่จะนอนหลับอย่างสงบ ท่านเคารพอิสระภาพของผู้อื่น ทุกคนเคารพอิสระภาพของกันและกัน ท่านจึงเลือกที่จะไม่ทำ นี่คือความรับผิดชอบหนึ่งที่มาพร้อมกับอิสระภาพ เป็นความรับผิดชอบที่สร้างสังคมแห่งอิสระภาพ
อิสระภาพที่แท้จริงนั้น ท่านต้องรู้ตัวในทุกการกระทำ ทุกการพูด ทุกการคิด เมื่อผลลัพธ์เกิดขึ้นตามมาก็พร้อมรับการเรียนรู้ ไม่โยนความรับผิดชอบไปสู่ผู้อื่นและไม่โทษตัวเองด้วย แค่รับมาเรียนรู้ เท่านั้น ท่านจะไม่พูดว่า "ก็เพราะพ่อแม่เลี้ยงฉันมาแบบนี้ ก็เพราะโรงเรียนสอนฉันมาแบบนี้ฉัน ก็เพราะสังคมสอนฉันมาแบบนี้ ฉันจึงเป็นแบบนี้ และฉันจะทำแบบนี้ต่อไป ฉันจะไม่เปลี่ยน" นั่นคือการโยนความรับผิดชอบ "ฉันทำผิด แต่เพราะพ่อแม่ ไม่ใช่เพราะฉัน และฉันจะผิดต่อไป" นี่คือความเป็นทาส ไม่ใช่อิสระภาพ แต่เมื่อใดที่ท่านหันมารับรู้การกระทำทุกอย่างของตัวเอง เลือกด้วยตัวเอง "ฉันจะทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพราะถูกสั่ง แต่เพราะฉันคิดแล้วว่าฉันอยากจะทำ" "ฉันจะไม่ทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพราะต่อต้านคำสั่ง แต่เพราะฉันคิดแล้วว่าไม่ต้องการทำ" ตระหนักรู้ในทุกสิ่ง รับผิดชอบในทุกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำหรือไม่ทำ ยิ่งรับผิดชอบในชีวิตของตนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอิสระภาพมากเท่านั้น และในทางกลับกัน ยิ่งมีอิสระภาพมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น
ทุกคนอยากได้อิสระภาพแต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้องการมัน บางคนรู้สึกว่าความเป็นทาสสบายกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง มีคนอื่นออกคำสั่ง ฉันแค่ทำตาม ไม่ต้องคิด ถ้าผิด ก็ไปโทษคนที่สั่ง ไม่ต้องมาโทษฉัน โทษพระเจ้าสิที่สร้างฉันมาให้เป็นอย่างนี้ โยนความรับผิดชอบไปทั่ว มันสบายที่จะอยู่ในกรงที่มีคนหาอาหารมาให้ และมันยากที่จะเป็นนกที่โบยบินอย่างอิสระอยู่นอกกรงซึ่งต้องค่อยหาอาหารเอง รับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง

หากท่านต้องการอิสระภาพก็จงเป็นอิสระจากอดีต วัฒนธรรม สังคม การศึกษา ศาสนา ฯลฯ เอาสิ่งเหล่านี้กองไว้ข้างๆ เอาไว้เป็นข้อมูลหรือเครื่องมือเท่านั้น มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของท่าน จากนั้นให้ตระหนักรู้ในทุกสิ่งที่กระทำ จงเลือกด้วยตัวเองในทุกสิ่งที่จะกระทำ อย่างมีสติ
ด้วยเหตุนี้ อิสระภาพที่แท้จริงจึงมาพร้อมกับความรับผิดชอบ อิสระภาพที่ยิ่งใหญ่จะมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง

รับ(ได้ไม่ว่าจะ)ผิด(หรือถูก ไม่ว่าจะ)ชอบ(หรือไม่ชอบ)

ของแท้ย่อมเปลี่ยนแปลง มีแต่ของปลอมที่ไม่เปลี่ยนแปลง

Photo by Pixabay: https://www.pexels.com/photo/seashore-269583/

ทุกชีวิตมีการเติบโต เปลี่ยนแปลง เป็นความจริงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพราะสิ่งที่เป็นของจริงจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีแต่ของปลอมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดอกไม้จริงจะเปลี่ยนแปลง จะผลิดอก จะเหี่ยวเฉา ดอกไม้ปลอมจะไม่เปลี่ยนแปลง ความรักเองก็มีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนมักคิดว่า รักแท้ จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ ความรักที่เป็นของจริง เป็นของแท้ จะเปลี่ยนแปลง ความรักที่เป็นของปลอม จะเป็นแค่ความแสแสร้งเท่านั้นความรักอาจเริ่มจากความต้องการทางกายภาพ นั่นเป็นเป็นการใช้คำว่ารักในความหมายที่ตื้นที่สุด และมันก็จะหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับการตอบสนอง เพราะมันยังไม่ใช่ความรักที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ มันเป็นแค่คำกล่าวอ้าง แต่เมื่อได้เข้าสู่การเป็นความรักที่แท้จริงมันจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความรักภายในจิตใจ จากนั้นมันจะเปลี่ยนต่อไปกลายเป็นมิตรภาพ และมิตรภาพก็จะกลับกลายเป็นความรักอีกครั้ง และแปรเปลี่ยนเช่นนี้เรื่อยไป
คู่ครองที่ครองคู่ด้วยกันได้อย่างยาวนาน ความรักต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นมิตรภาพ เพราะความรักคือกระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์ สิ่งมีชีวิตคือกระบวนการที่สืบเนื่อง แปรเปลี่ยน วิวัฒนาการ

ของแท้จะเปลี่ยนแปลง มีแต่ของปลอม ของที่แสแสร้งเท่านั้น ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่คนที่ไม่เคยผิด แต่คือคนที่ผิดมาแล้วถูกรูปแบบ

Photo by Felix Mittermeier: https://www.pexels.com/photo/grayscale-photography-of-chessboard-game-957312/


แอดฯเคยได้ยินหลายคนที่มักคิดว่า คนเก่งจะไม่ทำอะไรผิดเลย แต่จริงๆแล้วก่อนคนนั้นจะเก่งระดับผู้เชี่ยวชาญ เขาทำผิดมาจนรู้ทุกกระบวนท่าแล้วต่างหาก
นักหมากรุกแชมป์โลกทุกคนเคยเล่นแพ้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะแต่เกิด แต่ก่อนจะถึงระดับแชมป์ก็ต้องเคยเล่นแพ้ แพ้มาทุกรูปแบบ แม้แต่อัจฉริยะยังต้องทุ่มเทเรียนรู้ แล้วคนธรรมดาอย่างเราๆจะไม่ยอมให้ผิดกันบ้างเลยหรอ?
ในกระบวนการเรียนรู้ หากไม่เปิดโอกาสให้ลองผิดลองถูก ความคิดที่ว่า "ผิดไม่ได้" จะไม่นำไปสู่อะไรใหม่ๆได้เลย และเป็นคุกของความคิดสร้างสรรค์

นักปฏิวัติและนักสรรค์สร้าง

https://www.behance.net/gallery/2202361/Sun-Pin-The-Art-of-War

นักปฏิวัติรู้จักเพียงการโค่นล้ม เพราะนั่นคือความถนัดของเขา แต่เมื่อเขาโค่นล่มได้แล้วขึ้นครองอำนาจ นั่นคือจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดงานของนักปฏิวัติคือการต่อสู้ ทำลายล้าง ฯลฯ อำนาจอยู่ในมือนักปฏิวัติเพราะเขาเป็นผู้ชนะ เขาย่อมได้อำนาจปกครองไว้ในมือ เมื่อชนะ (ถ้าเห็นว่าควรได้รางวัล)นักปฏิวัติอาจจะควรได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ อาจควรได้รับเหรียญตรา อาจควรได้รับรางวัลทุกอย่างจากผู้ที่ชื่นชมยกย่อง แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่ได้ควรได้รับ คือ อำนาจในการปกครอง เพราะเมื่อพวกเขาได้รับอำนาจแล้ว เขาก็จะทำสิ่งที่เขาถนัดต่อไปคือ ทำลายต่อไป ทำลายผู้ที่ต่อต้านพวกเขา เข่นฆ่าจับขังคนเห็นต่าง ฯลฯ อำนาจการปกครองควรอยู่ในมือผู้ที่มีความสามารถในการสรรค์สร้าง ทว่า นักสรรค์สร้างไม่เคยอยู่ในหมู่นักปฏิวัติ เขาถนัดการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทำลาย เขาถนัดการดูแล ไม่ใช่โค่นล้ม ฯลฯ แล้วเมื่อนักปฏิวัติสู้ชนะได้อำนาจมาแล้ว เขาจะไม่ยอมมอบอำนาจให้กับนักสรรค์สร้าง นักสรรค์สร้างอาจถูกมองว่าเป็นพวกเมินเฉย "พวกมันไม่ได้มาร่วมสู้กับเรา เราจะให้อำนาจพวกมันทำไม?"

นักปฏิวัติถนัดในการทำลายแต่ไม่ถนัดในการสร้าง นักสรรค์สร้างถนัดในการสร้างแต่ไม่ถนัดในการทำลาย คือบุ๋นและบู๊ มีอยู่คู่โลกเหมือนหยินและหยาง เมื่อหมดวาระของหยางก็ต้องส่งต่อให้หยิน ดั่งตะวันส่งต่อโลกให้จันทรา นี่คือสมดุล หากนักปฏิวัติ หลังปฏิวัติเสร็จสิ้น ยอมส่งมอบอำนาจให้นักสรรค์สร้าง นักปฏิวัติอาจถูกจารึกชื่อไว้ในฐานะวีรบุรุษ และประเทศก็เดินไปข้างหน้าได้ แต่หากนักปฏิวัติยังกำอำนาจอยู่ในมือต่อไป ปลายทางของประเทศก็คือความพังพินาศ ทุกการปฏิวัติในประวัติศาสตร์จึงจบลงที่ความล้มเหลวเสมอ วีรบุรุษจะกลายเป็นทรราชในท้ายที่สุดอย่างมิอาจเลี่ยงได้

08 ตุลาคม 2565

สมุนไพรแก้อาการหนังตากระตุก

หนังตากระตุก(Eyes Twitching) เป็นอาการที่หนังตา ไม่ว่าจะหนังตาบนหรือล่าง เกิดการเกร็งหดตัวเร็วๆอย่างผิดปกติ หากไม่บ่อยนักก็คงไม่เป็นไร แต่หากเกิดขึ้นบ่อยๆติดต่อกันหลายวัน วันละหลายครั้งก็อาจทำให้เกิดความรำคราญได้ โดยทั่วไปการเกิดหนังตากระตุกอาจจะเกิดจากการที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียดสะสม การใช้สายตามาก ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การสูบบุหรี่จัด ดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป ฯลฯ ซึ่งหากได้พักผ่อนและงดของแสลงก็อาจจะหายเองในเวลาไม่กี่วัน แต่หากหนังตายังคงกระตุกรัวๆติดต่อกันหลายสัปดาห์โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย ก็อาจต้องหาวิธีเยียวยา แม้อาการนี้จะไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่ก็ชวนหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อยเลย

ในทางการปรัชญชาจีนดวงตาเชื่อมต่อกับตับ การที่หนังตากระตุกอาจเกิดจากลมของตับขึ้น ลมพัด ใบไม้ไหว ที่ใดเคลื่อนไหว ที่นั่นมีลม ดังนั้น ในทางปรัชญาจีนจะเริ่มพิจารณาเรื่องหนังตากระตุกจากลมตับก่อน โดยพื้นฐานจะใช้สมุนไพรสงบลมตับ ผมจะแนะนำสมุนไพรพื้นๆที่หาได้ง่ายๆทั่วไปเพื่อให้เพื่อนๆได้ลองนำมารักษาตัวเองดูก่อนในเบื้องต้น โดยสูตรสมุนไพรรักษาอาการหนังตากระตุกมีดังนี้

สมุนไพรแก้อาการหนังตากระตุก
  • เก๊กฮวย 20 g
  • เก๋ากี๊ 10 g
  • ใบหม่อน 6 g
  • แห่โกวเฉา 4 g
วิธีการต้ม
นำสมุมไพรทั้งหมดมาล้าง เติมน้ำประมาณ 1-1.5 ลิตร แช่ให้นิ่มประมาณ 30 นาที จากนั้นขึ้นเตาตั้งไฟแรงจนเดือด แล้วปรับลดเป็นไฟอ่อน ต้มต่ออีก 30 นาที กรองแต่น้ำนำมาดื่มสำหรับ 1 วัน
และควรนอนหลับไม่เกิน 4 ทุ่ม และหากเป็นไปได้ให้งีบกลางวัน 20 นาที ในช่วงเวลาระหว่าง 11 am - 1 pm ถ้าไม่สะดวกงีบกลางวันให้นั่งหลับตาทำสมาธิสักครู่แทนได้

สูตรสมุนไพรชุดนี้เป็นชุดสำหรับดื่ม 1 วัน อาจดื่มต่างน้ำก็ได้ แนะนำให้ต้มดื่มอย่างน้อย 3-4 วัน ถ้าอาการดีขึ้น ให้ดื่มต่ออีกไม่เกิน 4 วันก็น่าจะหาย รวมแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ หากครบเวลาแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย อาจต้องไปพบแพทย์แผนจีนเพื่อฝังเข็ม หรือแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อหาแนวทางการรักษาทางเป็นทางการต่อไป

สูตรนี้ผมต้มให้คนที่บ้านดื่ม หลังจากที่มีอาการหนังตากระตุกเรื้อรังเป็นเดือนๆ คือกระตุกทั้งวัน เกือบตลอดเวลา วันละหลายร้อยครั้ง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ผมจึงค้นคว้าและคำนวณสูตรนี้ขึ้น โดยเน้นสมุนไพรที่หาง่าย และทุกคนก็ดื่มกันเป็นปกติอยู่แล้ว ใช้ได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ต้องตวงน้ำหนักให้เหมาะสมจึงจะเห็นผล ซึ่งคนที่บ้านดื่ม 4 วัน จากที่กระตุกวันละเป็นร้อยๆครั้ง ก็เหลือแค่วันละ 4-5 ครั้ง เมื่อดื่มต่อจนครบ 1 สัปดาห์ก็หาย ผมจึงขอนำสูตรนี้มาแจกเป็นวิทยาทานสำหรับท่านที่ทนทุกข์กับอาการหนังตากระตุกเรื้อรังจะได้หายดีเช่นเดียวกัน
สมุนไพรชุดนี้เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น เพื่อดับไฟตับขับลม ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการเย็นใน ใจสั่น ท้องอืด ฯลฯ ผู้ที่มีความดันต่ำ หรือโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
สามารถสั่งซื้อออนไลน์กับผมได้ที่เพจ Harirak Farm หรือที่ Shopee ชุดละ 40 บาท, 4 ชุด 150 บาท หรือจัดชุดสมุนไพรเหล่านี้ได้ตามร้านยาจีนใกล้บ้าน

หากใช้แล้วได้ผลโปรดแนะนำต่อ
เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมกัน
ขอให้ทุกท่านหายดีมีสุขภาพแข็งแรง
สวัสดีครับ

08 กันยายน 2565

คนที่มีความสุขจะพร่ำบ่นกับตัวเองหน้ากระจกว่า "ฉันมีความสุข" จริงๆหรือ?

หนังสือแนวพัฒนาตนเองในยุคหนึ่ง นิยมบอกให้ผู้คนพูดกับตัวเองว่า "ฉันมีความสุข" "ฉันเป็นคนพิเศษ" "ฉันมีความมั่นใจในตัวเอง" ฯลฯ หรืออะไรทำนองนี้ แน่นอนว่า มันย่อมเป็นเรื่องดีที่ผู้คนจะพูดสิ่งดีๆกับตัวเองมากกว่าสิ่งไม่ดี แต่หากมองอีกมุม คนที่มีความสุข เขาจะพร่ำบ่นกับตัวเองหน้ากระจกว่า "ฉันมีความสุข" จริงๆหรือ?

เราก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นไปตามกระแสของการพัฒนาตัวเองในยุคนั้นเหมือนกัน เคยคุยถึงเรื่องแบบนี้บ่อย ทุกวันนี้ถ้าดูในสื่อต่างๆ มีแต่คนสวยๆหล่อๆดีๆเก่งๆมากมาย จนเรารู้สึกเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นปกติของสังคม ทั้งที่เมื่อคิดอีกที คุณคิดว่าคนที่โคตรเก่ง โคตรสวยหล่อ มีกี่%ในโลก? อาจแค่ 1% สื่อย่อมต้องนำเสนอสิ่งที่เป็นที่สุด ความปกติธรรมดา 99% เขาคงไม่เอาออกสื่อหรอก หรือไม่จริง? และเมื่อเราเห็น 1% นั้นในสื่อบ่อยๆ เราก็รู้สึกราวกับว่าทั้งหมดต้องเป็นอย่างนั้น และมีแค่เราคนเดียวที่ผิดปกติเพราะไม่ได้เป็นอย่างนั้น บางครั้งเราก็ลืมฉุกคิดในเรื่องนี้ จนทำให้เราไม่มีความสุข

การสอนให้ผู้คนบอกว่าตัวเองพิเศษ มันจะมีความพิเศษอยู่ 2 ทาง คือ โคตรเทพ กับ โคตรห่วย ทั้ง 2 อย่างนี้พิเศษ และสื่อก็จะนำเสนอ ดูได้จากข่าว ถ้าเก่งไม่ได้ ก็ทำคอนเท้นท์เหี้ยๆไปเลย โด่งดังเหมือนกัน ถ้า 99% พยายามทำอย่างหลัง สังคมคงจะวุ่นวายพิลึก

ก็เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่มีความสุขนั่นแหละ เราถึงได้พร่ำบ่นพยายามสะกดจิตตัวเองว่าเรามีความสุขไม่ใช่หรอ?
เราเป็นแค่ 99% เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง ที่ไม่ได้พิเศษ

บางที วิธีที่ดีกว่า ไม่ใช่การพร่ำบอกตัวเองว่ามีความสุข แต่อาจเป็นการยอมรับทุกความรู้สึกของตัวเอง ไม่ใช่การพร่ำบอกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ แต่อาจเป็นการยอมรับความเป็นเช่นนี้ของตัวเอง
แค่ยอมรับและดื่มด่ำกับความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเป็นมนุษย์ทั้งหมด สิ่งที่มีแต่มนุษย์ที่สามารถรู้สึกทั้งหมดนี้ได้ตามการปรุงแต่งของกาย หากเราปิดกั้นไม่ยอมรับรู้บางอารมณ์ในกายมนุษย์สามัญที่ต้องพบเจอเป็นธรรมดา เพราะแค่เราไม่ชอบ การได้เป็นมนุษย์ก็ไม่อาจสมบูรณ์
คุณอาจเป็น 99% เหมือนเรา เป็นคนธรรมดา เป็นคนที่ห่วยคนนึง เรายอมรับมันว่าตอนนี้เราเป็นอย่างนี้ และเราจะทำให้ตัวเองห่วยน้อยลงทุกวัน เป็นคนธรรมดาๆที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้นๆ
บางที คนที่พิเศษจริงๆ ก็อาจผลัดดันตัวเองด้วยความรู้สึกเช่นนี้ จึงเก่งขึ้นในทุกวันก็ได้

อันที่จริง การเป็นคนพิเศษหรือธรรมดา ก็ยังอยู่ในทวิภาวะของเส้นส่วนสุดทั้งสองข้าง ถึงที่สุดแล้ว เราควรจะอยู่เหนือเส้นส่วนสุดทั้งสองข้างนี้ คือ ไม่ต้องพิเศษหรือธรรมดา แค่เป็นเช่นนั้นเอง ยอมรับอย่างที่เป็น แล้วเป็นอย่างที่จะเป็น โดยไม่ต้องแปะป้ายอะไรให้ตัวเองอีกต่อไป

สังคมที่มีคุณธรรม,
จะไม่โหยหาคุณธรรม;
สังคมที่ไร้คุณธรรม,
จะโหยหาคุณธรรม;
สังคมที่พร่ำสอนคุณธรรม,
ป่าวประกาศราวกับว่ามีคุณธรรมนักหนา,
คือสังคมที่ไร้คุณธรรม.

06 กันยายน 2565

รอยบนพื้นผิวดวงจันทร์คือภาพประทับของแผนที่โลก? - The world map plasma moon

https://mountaindub.bandcamp.com/album/world-political-map

นี่เป็นภาพที่ชาวโลกแบนเรียกกันว่า The world map plasma moon ซึ่งเป็นภาพลวยลายของพื้นผิวหน้าของดวงจันทร์ที่นำมากลับซ้ายขวา และปรับสี เพื่อแสดงให้เห็นว่า นี่คือลายแผ่นที่โลกที่ประทับลงผิวหน้าของดวงจันทร์ และเหตุที่ต้องกลับซ้ายขวาก็เพราะว่ามันคือภาพสะท้อน กลับซ้ายขวาเพื่อให้เห็นในมุมที่คุ้นเคย ชาวโลกแบนบอกว่า ลายบนพื้นผิวของดวงจันทร์ก็คือแสงสะท้อนจากผิวโลก เหมือนแดดเลีย ส่วนที่เป็นทะเลและพื้นดินก็สะท้อนแสงต่างกัน แดดเลียจนความด่างประทับบนผิวดวงจันทร์ต่างกันไปจนกลายเป็นลวดลายของแผนที่โลกเหมือนมองจากกระจก(จึงต้องกลับซ้ายขวาก่อน จึงจะเห็นอย่างที่เราคุ้นเคย)
แผนที่ที่ชาวโลกแบนใช้อ้างอิง
นักบอลลูนและนักบินก็นิยมใช้
เนื่องจากกำหนดเส้นทางได้ง่าย
ทั้งยังถูกใช้เป็นโลโก้อีกหลายองค์กรระดับโลก

คนส่วนใหญ่ที่แซวชาวโลกแบน มักจะแซวหรือนึกภาพว่าชาวโลกแบนน่าจะเชื่อว่า โลกเป็นแผ่นแบนๆสี่เหลี่ยมเหมือนแผนที่โลกแบบกระดาษลอยอยู่ในอวกาศและวนรอบดวงอาทิตย์ซึ่งมีดาวอื่นๆเป็นทรงกลม ซึ่งอันที่จริง ชาวโลกแบนเขาไม่เชื่อเรื่องอวกาศ และพวกเขาเชื่อว่า มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดเท่าๆกัน ซึ่งไม่ใหญ่มากนัก เป็นคล้ายๆพาสม่าทั้งคู่ โดยดวงอาทิตย์ให้พลังงานความร้อน(แสงส่องโดนอะไรก็จะร้อนขึ้น) ดวงจันทร์ให้พลังงานความเย็น(แสงส่องโดนอะไรก็จะเย็นลง ต้องทดลองวัดอุณหภูมิในคืนวันเพ็ญว่าจุดที่อยู่กลางแจ้งโดนแสงจันทร์จะเย็นกว่าในร่มจริงมั้ย) ลอยสูงอยู่บนชั้นฟ้า แล้วโคจรอยู่ในรัศมีวงสีแดงในรูป(ที่มุมล่างขวาของรูป) โดยมีขั้วโลกเหนือเป็นศูนย์กลาง พวกเขาเชื่อว่าโลกเป็นวงกลมเหมือนเหรียญ โดยที่ขอบของวงกลม(ขอบของโลกแบนคือขั้วโลกใต้ของชาวโลกกลม)เป็นแผ่นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ การที่ชาวโลกกลมแซวว่าไปทางตะวันออก/ตกก็ไม่เห็นจะเจอขอบโลก ก็วนครบรอบได้อยู่นี่นา ก็คือความเข้าใจชาวโลกแบนผิดไปนั่นเอง(เพราะใช้แผ่นที่สี่เหลี่ยมของชาวโลกกลมมาพิสูจน์แนวคิดชาวโลกแบนที่ใช้แผนที่วงกลม) เพราะหากไปตะวันออก/ตกก็จะเป็นการเดินทางเป็นวงกลมของแผนที่ชาวโลกแบน แต่หากไปที่ขั้วโลกใต้ของชาวโลกกลมต่างหากคือขอบโลกของชาวโลกแบน(ประมาณว่า ถ้าวนรอบโลกในแนวทิศเหนือ/ใต้ได้จึงจะถือว่าโลกกลม ไม่ใช่ไปทางทิศออก/ตก) ซึ่งชาวโลกแบนบอกว่า ยังไม่เคยมีใครทำ (จริงหรือ?) เพราะขั้วโลกใต้เป็นเขตหวงห้าม

https://opensea.io/assets/ethereum/0x495f947276749ce646f68ac8c248420045cb7b5e/112781073003889060326952330142459745193637476143318861797342770350109598154753

มาต่อกันเรื่องแผนที่โลกบนดวงจันทร์ ทีนี้จะเห็นว่าแผนที่บนผิวดวงจันทร์นี้ก็มีพื้นดินบางส่วนเกินมา เช่น เกาะใหญ่ที่อยู่ใกล้ออสเตเรีย ซึ่งชาวโลกแบนสัญนิฐานว่า น่าจะเป็นแผ่นดินที่เคยมีอยู่จริงแต่จมทะเลไปแล้ว
ภาพดวงจันทร์ที่กลับซ้ายขวาแล้ว

ซึ่งเมื่อดูลายของดวงจันทร์(ที่กลับซ้ายขวาแล้ว)มันก็มีความคล้ายกับแผนที่โลกจริงๆ แต่ก็แค่ส่วนที่อยู่ในวงสีแดงเท่านั้น แล้วส่วนฝั่งซ้ายของรูปล่ะ มันคืออะไร? แผนที่โลกก็มีแค่นี่นี่นา? ชาวโลกแบนเขาเชื่อว่าโลกนี้เป็นแผ่นแบนๆกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด(เหมือนอวกาศที่ไม่สิ้นสุด) คืออย่างน้อยก็ยังไม่รู้ว่ามันสิ้นสุดตรงไหน ชาวโลกแบนจึงเชื่อว่า ฝั่งซ้ายของแผนที่นี้คือทวีปลับแลที่ในปัจจุบันน่าจะกำลังเป็นน้ำแข็งอยู่ เพราะดวงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง เนื่องดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะโคจรอยู่เฉพาะในวงสีแดง ดังนั้นส่วนนอกเหนือจากนี้คือน้ำแข็งล้วนและมืดมิด แต่ชาวโลกแบนเชื่อว่า ระยะโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมีการขยับไปตามเข็มนาฬิกาอยู่เสมอ ทีละน้อย ดังนั้น เมื่อผ่านยุค ถึงวันหนึ่ง วงโคจรของดวงอาทิตย์จะไปอยู่ในทวีปลับแล และก็วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆในแผ่นโลกนี้ ด้วยแนวคิดนี้ แผ่นดินฝั่งหนึ่งจะค่อยๆเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง และแผ่นน้ำแข็งฝั่งหนึ่งจะค่อยๆอุ่นขึ้น ก็เพราะวงโคจรของดวงอาทิตย์ฯกำลังเคลื่อนตัวอยู่นั่นเอง และวงโคจรนี้ก็เคยเคลื่อนวนอยู่อย่างนี้มาหลายกัป จนกระทั่งพื้นผิวดวงจันทร์มีภาพสะท้อนของทวีปทั้งหมดประทับเอาไว้
แต่ในแนวคิดของชาวโลกแบนก็ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่มองว่า ตรงแผ่นดินอื่นก็อาจมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ของตัวเองโคจรอยู่บนท้องฟ้าก็ได้ และอาจมีทวีปอื่นนอกเหนือจากที่ประทับบนดวงจันทร์ของเราก็เป็นได้

จะเห็นว่าแนวคิดของชาวโลกแบนจะไม่เหมือนกับชาวโลกกลมเลย แต่สิ่งที่คล้ายกันก็คือ ที่ชาวโลกกลมเชื่อว่ามีอวกาศไม้สิ้นสุด ชาวโลกแบนก็เชื่อว่าแผ่นดินไม่สิ้นสุด, ที่ชาวโลกลมเชื่อว่ามีกาแลกซี่อื่นๆอีกมากมาย ชาวโลกแบนก็เชื่อว่ามีทวีปลับแลอื่นๆอีกมากมาย, ที่ชาวโลกกลมเชื่อว่ามีดวงอาทิตย์(ดาวฤกษ์)ในระบบอื่นๆอีกมากกมาย ชาวโลกแบนก็เชื่อว่ามีดวงอาทิตย์ในทวีปอื่นๆอีกมากมาย, ฯลฯ

เราก็นำแนวคิดมาสรุปคร่าวๆโดยใช้ทฤษฎีผิวหน้าดวงจันทร์ของชาวโลกแบนมาเล่าเรื่อง เพื่อให้พวกเราเข้าใจแนวคิดของชาวโลกแบนอย่างพอสังเขป แต่ไม่ว่าใครจะเชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบน เราก็ควรเคารพความคิดเห็นของกันและกัน เพราะทุกคนก็อยู่บนโลกนี้ด้วยกัน
และสุดท้ายนี้อย่าลืมว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้สอนให้เชื่อ แต่มันคือกระบวนการเพื่อให้รู้

แถม
https://jazzylj.blogspot.com/2021/12/what-on-earth-happened.html ลิ้งค์แนะนำสำหรับคนที่สนใจศึกษาเพิ่มเติม ให้เป็นลิงค์รวมสารคดีในแนวนี้ เป็นสารคดีที่ถูกแบนบน Youtube มาก่อน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ชาวโลกแบนเอามาเคลมว่า "ทำไมเรื่อง UFO กับเรื่องมนุษย์ต่างดาว ไม่แบน แต่เรื่องโลกแบนโดนแบน เพราะมันคือความจริงที่ไม่อยากให้รับรู้ อย่างนั้นหรือ?" อืม... ก็.... เป็นคำถามที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

https://tenor.com/view/flat-earth-atmosphere-and-sun-and-moon-movement-gif-18798944

อ้างอิง

06 สิงหาคม 2565

Pokete เกม Pokemon แบบ ASCII


เป็นเกม Pokemon Master แบบฟรี Open source ในสไตล์ ASCII คลาสสิค
เนื้อเรื่องของเกม คือ คุณเป็น Pokete Trainer และคุณเดินทางไปทั่วโลกเพื่อจับ/ฝึก Poketes ให้ได้มากที่สุดโดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเป็นสุดยอด Trainer ระหว่างทางคุณจะได้พบกับ NPC ที่แตกต่างกันมากมายที่อาจดีต่อคุณหรือไม่ก็ได้
เกมนี้สามารถเล่นได้ทุกระบบปฏิบัติการที่ติดตั้ง Python3 เอาไว้(Linux ส่วนใหญ่มีพร้อมอยู่แล้ว) ซึ่งในที่นี้จะพูดถึงวิธีรันเกมนี้บน Linux เป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวทางปรับใช้กับระบบอื่นๆได้ครับ

วิธีติดตั้ง
ให้ติดตั้งผ่านระบบจัดการซอฟต์แวร์ของ flathub หรือ ดาวน์โหลดเป็นไฟล์ zip จากผู้สร้างโดยตรงก็ได้ที่ https://github.com/lxgr-linux/pokete/ กดที่ปุ่ม Code เพื่อดาวน์โหลดแบบ zip
แนะนำให้โหลดมาเป็นไฟล์เลยจะดีกว่า มันจัดการได้ง่ายกว่าครับ

วิธีเปิดเกม
ถ้าติดตั้งผ่านระบบจัดการซอฟต์แวร์ก็เข้าไปเปิดในเมนูเกมได้เลย
หากดาวน์โหลดเป็นไฟล์มาให้แตกไฟล์ zip ก่อน จากนั้นเปิด Terminal พิมพ์คำสั่งให้เข้าไปในโฟลเดอร์ แล้วพิมพ์คำสั่งว่าว่า

python3 pokete.py

ก็สามารถเข้าเล่นได้แล้ว

แต่หากยังไม่สามารถเข้าเกมได้
ให้ติดตั้งระบบเพิ่มเติมผ่าน Terminal ดังนี้

sudo apt install python3-pip
pip install scrap_engine

จากนั้นให้ลองเข้าเกมอีกครั้ง ก็น่าจะได้เล่นเป็น Pokemon Trainer ในแบบ ASCII กันแล้วล่ะครับ!

วิธีเล่นก็เรียบง่าย ใช้ปุ่ม wasd ในการควบคุมทิศทาง และ e เพื่อเข้าเมนูตั้งต่า ลองดูคู่มือการเล่นอย่างเป็นทางการได้ที่ https://github.com/lxgr-linux/pokete/blob/master/HowToPlay.md

ขอให้สนุกกับการผจญภัยในโลกแห่ง Pokete นะ เหล่า Trainer ไฟแรงทั้งหลาย!

Pokete on Linux ZorinOS 16.1 Lite

แถม
ทำไฟล์ .sh ไว้ดับเบิลคลิกเพื่อเข้าเกมจะได้ไม่ต้องพิมพ์คำสั่งบ่อยๆด้วยโค้ดนี้ได้เลย

cd ~/pokete
python3 pokete.py

02 สิงหาคม 2565

โรคภัยที่เกิดจากอารมณ์ที่มากเกินไป


วันนี้มาคุยกันเรื่องอารมณ์ความรู้สึกกันครับ

คัมภีร์ซู่เวิ่น บท อินหยางอิ้งเซี่ยงต้าลุ่น มีบันทึกว่า: "ความโกรธทำร้ายตับ, ดีใจทำร้ายหัวใจ, ครุ่นคิดทำร้ายม้าม, เศร้าโศกทำร้ายปอด, ความกลัวทำร้ายไต."

《素問 。陰陽應像大論》有:“怒傷肝,喜傷心,思傷脾、憂傷肺、恐傷腎”的記載。

การมีความรู้สึกต่างๆนั้นนับว่าปกติ แต่หากมีความรู้สึกใดมากเกินไปจะทำให้อวัยวะนั้นๆเจ็บป่วยได้ และในทางกลับกัน ถ้าอวัยวะนั้นๆเสียสมดุลก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกใดใดได้เหมือนกัน เช่น ตับมีปัญหาอาจทำให้เป็นคนโกรธง่าย เป็นต้น

คัมภีร์อีฟางเข่า บันทึกไว้ว่า หานกล่าวว่า: โรคที่เกิดจากความคิด, ยารักษาไม่ง่าย, ควรใช้วิธีการควบคุม.

《醫方考 。情志門第二十七》 韓曰∶此病得之於思,藥不易愈,當以術治之。

หากเกิดความรู้สึกต่างๆมากเกินไป ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคนิคอารมณ์คุมอารมณ์ด้วยหลักปรัชญา 5 ธาตุ เช่น มีอารมณ์โกรธ(ธาตุไม้)มากเกินไป ให้รักษาได้ด้วยการเล่าเรื่องเศร้า(ธาตุโลหะ ตัดไม้ทำให้ธาตุไม้ลดลง)ให้ฟัง แต่ต้องให้พอดีอย่างสมดุล ไม่มากเกินจนพลิกกลับเป็นอารมณ์เศร้าไปอีก เป็นต้น

หากเพื่อนๆสนใจเรื่อง อารมณ์คุมอารมณ์ เพิ่มเติม ให้เม้นว่า สนใจ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมต่อไปนะครับ หากไม่มีก็ขอละไว้เพียงเท่านี้ก่อน
ขอบคุณครับ

อ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติม
https://baike.baidu.com/item/%E4%B8%83%E6%83%85
http://zhongyibaodian.com/archives/17561.html
https://zhuanlan.zhihu.com/p/147483741