Sponsor

20 กุมภาพันธ์ 2552

Jaco Pastorius - John Francis Pastorius

คงไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการกล่าวว่า Jaco เป็นอัจฉริยะมือเบสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เขาได้สร้างกฎเกณฑ์ใหม่แห่งโลกเบส ซึ่งไม่น้อยไปกว่าที่จะกล่าวเช่นนี้เลย เฉกเช่นเดียวกับ Jimi Hendrix กับการมีอิทธิพลต่อนักดนตรีทั่วโลก Jaco ได้มอบแนวทางใหม่สำหรับมือเบสในการที่จะเข้าถึงแก่นแท้ได้ กับการ บุกเบิกเทคนิคให้บังเกิดผลอย่างเชี่ยวชาญ และการเปลี่ยนแปลงขึ้นในแนวทางใหม่สำหรับเบส กับการออกโซโล่ อัลบั้ม ที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1976 จึงทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีชื่อเสียงในการเป็นนักดนตรีแจ๊ส เมื่อได้เป็นมือเบสแห่งวง Weather Report จุดนี้จึงได้ทำให้เขากลายเป็นตำนานไปโดยปริยาย Jaco ได้เชื่อมโยงระหว่างรูปแบบของดนตรี ภายในผลงานเพลงของเขากับ Weather Report และ โซโล่ อัลบั้มของเขา นอกจากนั้นเขาได้ร่วมงานดนตรีกับนักดนตรีที่มีชื่อเสียง เช่น Pat Metheny Joni Mitchell Michael Brecker และ Mike Stern จนในระหว่างปี 1970 -1980 เขาได้รับเกียรติให้ได้รับการโหวดให้เป็น Best Jazz Bassist และ Jazz Artist of the Year ใน Guitar Player และ Down Beat magazines จากหลายๆประเทศเช่น ญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน และอเมริกา

Jaco ได้รับการยกย่องว่ามีเทคนิคที่เยี่ยมยอด กับเสียงที่ใช้ finger funk style กับการเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิค artificial harmonics ที่เขาได้สร้างขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนเป็นเสียงเบสที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์ดนตรีเบส เขาเป็นบุคคลแรกที่ใช้ประโยชน์ของ harmonics ที่ใช้ในทำนองอย่างไพเราะ และใช้ Fretless electric bass ขึ้นมาอย่างชัดเจน

ประวัติโดยย่อ
John Francis Pastorius เกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ใน Norristown, Pennsylvania ปี 1951 เมื่ออายุได้ 7 ปี ครอบครัวเขาย้ายไปที่ Fort Lauderdale ที่ Florida ที่ซึ่งเขาได้รับแนวดนตรี soul blues latin พ่อของเขา Jack Pastorius เป็นมือกลองและนักร้อง เขาจึงได้ดำเนินรอยตามพ่อเขา โดยได้เรียนรู้ดนตรีชนิดต่างๆเช่น กลอง เบส กีตาร์ เปียโน และ เซ็กโซโฟน เมื่ออายุได้ 12 ปี เขาได้เลือกกลองเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกในการเล่นวงดนตรีกับพี่เขาที่เล่น กีตาร์ จนมาเมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เป็นมือกลองวง the Sonics ซึ่งเป็นวงแรกของเขา เมื่อ 15 ปีเขาเล่นกลองในวง Las Olas Brass แต่เมื่อการได้รับอุบัติเหตุจากการเล่นบอล จึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่เอวด้านซ้าย จึงทำให้เขาไม่สามารถเล่นกลองได้ จึงก้าวเข้ามาเล่นเบสแทนมือเบสคนเก่าที่ได้ลาออกไป ทำให้เขาเป็นมือเบสของวงไปโดยปริยาย ประจวบกับสภาพทางร่างกายคือ มีมือที่ใหญ่ นิ้วยาว จนเมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้รับการโหวดจากนักดนตรีให้เป็นมือเบสยอดเยี่ยมแห่ง South Florida และเมื่อ 17 ปี เขาถือว่าเป็นมือเบสยอดเยี่ยมแห่ง Florida โดยในเวลานั้นกับการเล่นแบบ muted 16th-note fingerstyle funk ที่เป็นแบบแผนที่น่าจดจำมาจนทุกวันนี้ เมื่อก่อนที่เขาจะมีอายุได้ครบ 18 ปี Jaco ได้ป่าวประกาศว่า “ผมเป็นมือเบสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” คำกล่าวนี้จึงไม่เกินความจริงนัก จนทุกวันนี้จะได้ยินมือเบสทั้งหลายกล่าวถึงเขาด้วยคำพูดนี้

ฤดูร้อน ของปี 1968 - Jaco เขาใช้ acoustic upright bass และเป็นที่น่าจดจำในปลายยุค 60 เมื่อเขาเข้ามาเป็นสมาชิกวง Woodchuck กับทัวร์คอนเสริ์ตใน Florida ต้นยุค 70 และในช่วงเวลานี้เอง Jaco ได้เบสตัวใหม่ คือ Fender Jazz Bass ซึ่งเป็นเบส fretted model แล้วเขาก็เเกะเฟรตออกให้เป็น fretless bass

ในปี 1972 ชีวิต Jaco จุดหักเหของชีวิต คือ เขาได้เข้าร่วม กับ Wayne Cochran และ the C.C.(Citlin Circuit) Riders เป็นวง R&B ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 14 ชิ้น พร้อมกับคำจำกัดความใหม่สำหรับเขาคือ "creative overplaying" โดยเขาได้คิดค้นการเล่นเบสที่เหมือนการเล่นของริทึ่มกีตาร์ที่ผสมผสานและ ประยุกต์เข้ากับท่วงทำนองของการเล่น Harmonics เขาได้หมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาและค้นหา Caribbean sound และเขาก็เล่นดนตรีใน ห้องพักเรือที่แล่นไปที่ท่าเรือ St. Thomas and Nassau ขณะที่นำเรือเทียบท่า Jaco จะออกไปร่วมแจมกับ นักดนตรี reggae และ calypso ( ดนตรีแบบคาลิปโซ) นี้เป็นสไตร์ของดนตรี latin/caribbean ที่มีอิทธิพลต่อ Jaco เขาจึงได้ผสมผสานมันเข้ากับแนวสไตร์ดนตรีของเขา ซึ่งเป็นที่ปรากฏขึ้นตาม เพลงของ Weather Report และชุด Word of Mouth

ต่อ มา Jaco ก็ได้เข้าสอนเบสที่มหาวิทยาลัย Miami ทำหน้าที่ควบคุมวงและเล่นเบสให้ในวงดนตรีแจ๊ซของนักเรียน เซียน Fretless bass นามว่า Mark Egan เป็นหนึ่งในนักเรียนของเขา ที่นั้นได้ส่งผลต่อชีวิตเขาเป็นอย่างมาก เมื่อได้เป็นที่รู้จักของ Joe Zawinul ( เปียโน ) และ Wayne Shorter ( แซ็กโซโฟน ) สมาชิกเก่าวงของ Miles Davis ที่ คอนเสริ์ตของ Weather Report ซึ่งวงนี้เป็นแนว fusion ชั้นนำ แห่งยุค 70 เขาได้เป็นนักดนตรีรับเชิญที่ปรากฎตัวขึ้นในชุด Black Market เมื่อ 1 เมษายน ปี 1976 เขาได้เป็นมือเบสอย่างเป็นทางการเมื่อได้ก้าวเข้ามาแทนที่ Alphonso Johnson ที่ลาออกไป ปีนี้นับว่าเป็นปีทองของเขาสำหรับการเป็นมือเบส นอกจากนั้นเขายัง มีอัลบั้มอื่นที่ร่วมงานกับ Pat Metheny, Joni Mitchell และ Al Di Meola จนทำให้เขาเป็น ซุปเปอร์สตาร์

ในปี 1976 เขาได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเบสได้อย่างน่าอัศจรรย์โดยได้ออกชุด Jaco Pastorius จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปเลย เมื่อได้เป็นชุดที่มีคุณค่าต่อมือเบสทั่วโลก "Donna Lee" เป็นเพลงแรกในชุดนี้กับเสียงเบส fretless '62 Fender Jazz Bass ของเขา และเสียง artificial harmonics ในเพลง Portrait of Tracy ( ชื่อจากภรรยาคนแรกของเขา ) จนกลายเป็นบทเรียน harmonics ที่สำคัญ และ เพลง Come On, Come Over ที่ใช้ 16th-note groove กับเบส fretless จนต่อมาเขาก็ได้ออกอัลบั้มมาเรื่อยๆ

ปี 1977 กับ Weather Report ชุด Heavy Weather
ปี 1981 กับวง big band 20 ชิ้น ชุด Word of Mouth
ปี 1983 ชุด Invitation

กลาง ปี 80 Jaco มีปัญหาเรื่องยาเสพย์ติด แต่เขายังแสดงคอนเสริ์ตกับ Word of Mouth big band และเล่นที่บาร์ ที่ New York ต้นปี 1986 อาการของเขาเลวร้ายขึ้นกับการแสดงที่ก้าวร้าวต่อหน้าคนดู จนเขาต้องรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลักจากเมื่อเขาออกจากโรงพยาบาลเขาก็ทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มเหล้า จนทำให้ชีวิตเขาตกต่ำ จนในที่สุด
เมื่อ 12 กันยายน 1987 ที่บาร์ใน Fort Lauderdale รัฐ Florida เขาได้พยายามเข้าไปดู คอนเสริ์ตของ Carlos Santana แต่เนื่องจากอาการที่ก้าวร้าวของเขา ผู้คุมบาร์ไม่ยอมให้เขาเข้าไปดู จึงเกิดการต่อสู้ขึ้น จนทำให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการขั้นโคม่า เนื่องจากกะโหลกแตก ตาข้างขวาแทบจะถลนออกมา เขาจึงถูงนำตังส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส จนกระทั่งวันที่ 19 กันยายน เลือดคั่งในสมองของเขา จนขาดการรับรู้ได้
จนกระทั่งในวันที่ 21 กันยายน ปี 1987 เขาได้พบกับจดจุบในชีวิต เมื่ออายุได้ 36 ปี

แต่ ถึงอย่างไรตำนานทางดนตรี กับคำว่ามือเบสที่ยิ่งใหญ่ที่ยังคงป็นตำนาน สร้างแรงบัลดาลใจที่สำคัญยิ่งต่อมือเบสรุ่นแล้วรุ่นเล่า กับอัจฉริยะทางดนตรี ที่สมควรได้รับการจารึก...

ขอบคุณบทความดีๆจาก kttbass.dwthai

ลองค้นหาคำว่า jaco pastorius ใน youtube ดูครับ ยังมีอะไรเจ๋งๆให้ดูอีกเพียบ



08 กุมภาพันธ์ 2552

Crayon Physics แนวคิดง่ายๆแต่สุดยอดมากๆ

เกมส์ Crayon Physics เป็นเกมส์ที่สร้างโดยเกมเมอร์เพียงคนเดียวครับ มีนามว่า Petri Purho เป็นชาวฟินล์แลนด์ โดยพัฒนาจาก Engine Box2D ครับ เกมส์นี้ออกจะเป็นแนว Puzzle น่ารักน่ารัก ไอเดียดีมาก เป็นเกมส์ที่มีความอิสระในตัวมันเองครับ


โดยเนื้อหาของเกมส์นี้ก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกกลมๆนั้นไปชนดาวให้ได้ โดยให้เราใช้เมาส์วาดรูปเป็นพวกคานงัดคานเหวี่ยง หรือจะเป็นรูปทรงต่างๆ เพื่อส่งให้ลูกบอลนั้นเคลื่อนที่ครับ ซึ่งแต่ละด่านก็ต้องใช้ไหวพริบต่างๆกันไป ด่านแรกๆก็ง่ายๆ ทำให้เราเข้าใจคอนเซ็ปของการเล่น

อ่านมาทั้งหมดคงเริ่มสนใจแล้ว งั้นดู VDO ข้างล่างเรียกน้ำย่อยกันดีกว่า อิอิ

ได้ยินว่ามี Ver. ที่เล่นบน iPhone กับ iPod Touch ได้ด้วย คงต้องเข้าไปดูใน App Store ล่ะครับ (ผมไม่มี iPhone กับ iPod ครับ คงต้องเข้าไปดูกันเองแล้วล่ะ อิอิ)

ขอบอกว่า "Crayon Physics เป็นเกมส์ดีที่ต้องแนะนำต่อจริงๆครับ"


สามารถโหลดตัว Demo มาทดลองเล่นได้
ตามลิงค์นี้เลยครับ==> CrayonPhysics


Crayon Physics Deluxe from Petri Purho on Vimeo.

02 กุมภาพันธ์ 2552

ประวัติมวยหย่งชุน ฉบับสมบูรณ์

กว่า 250 ปีมาแล้วรัชสมัยของกษัตริย์ หยวนเซ็ง แห่งราชวงศ์ ชิง วัดเส้าหลินได้ถูกวางเพลิงโดยทหารมองโกล
การวางเพลิงครั้งนี้จึงส่งผลให้ 5 ปรมาจารย์ อาวุโสของ วัดเส้าหลินพร้อมลูกศิษย์ต้องฝ่าทหารมองโกล ลงทางใต้ของเมืองจีน ปรมาจารย์ทั้ง 5 ได้แก่ หลวงจีนจี้ส่าน, แม่ชีไบ๋เหมย, แม่ชีหวู่เหมย, หลวงจีนฟองโตตั๊ก, หลวงจีนเมียงหิ่น รวมทั้งศิษย์ ฆราวาส ได้แก่ หงซีกวน ฟางซื่อยี่, ลกอาซาม, ถงเชียนจิน, หวูเว่ยฉวน, ชายหมี่จิ้ว และอื่นๆ
ปรมาจารย์ จี้ส่าน สอนศิษย์ ฆราวาสมากมายและได้นำศิษย์หล่านี้ต่อต้านแมนจู ในบรรดาศิษย์เหล่านี้นำโดยศิษย์พี่ชื่อ หงซีกวน, ตงซินทุน, ฉอยอาฟุก พวกเขาปฏิบัติการในเรือแดง โดย จี้ส่านได้ปลอมตัวเป็น พ่อครัวของคณะงิ้วเรือแดง
ส่วนปรมาจารย์ แม่ชีหวู่เหมย ได้หนีความวุ่นวายทั้งปวงไปยัง วัดกระเรียนขาวบนเขาไท่ซาน ในขณะเดียวกันได้คิดค้นวิทยายุทธ์แขนงใหม่ ซึ่งแตกต่างและมีประสิทธิภาพดีกว่าวิชาที่ได้เรียนจากวัดเส้าหลิน วิชานี้ แม่ชีได้ พบจุดเริ่มต้น
โดยบังเอิญเมื่อเธอได้เห็น จิ้งจอกต่อสู้กับนกกระเรียน ซึ่งจิ้งจอกวิ่งวนไปรอบๆนกกระเรียนเป็นวงกลมหวังหาจังหวะจู่โจมนกกระเรียน แต่นกกระเรียนอยู่ในศูนย์กลางวงกลม หันหน้าเข้าหาจิ้งจอกตลอดเมื่อจิ้งจอกโจมตีนกกระเรียนก็ปัดและจิกโดยไม่วิ่ง ออกจากวงกลมอาศัยการป้องกันและโจมตีในเวลาเดียวกัน จากจุดนี้คือการค้นพบพื้นฐานของมวยชนิดใหม่

การต่อสู้ของมวยชนิดนี้คืออาศัยหลักการต่อสู้อันแยบยลตามหลักธรรมชาติของการหลบหลีก การเคลื่อนไหวด้วยการปะทะแบบสลายแรงอย่างรวดเร็วพร้อมโจมตีเป็นเส้นตรงในเวลาเดียวกัน ทั้งรุกและรับในจังหวะเดียวกัน โดยการใช้โครงสร้างและสรีระของร่างกายแทนกำลังของมือและเท้าในการทำลายคู่ ต่อสู้
ต่อมา แม่ชีหวู่เหมยได้รับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ เหยิ่นหย่งชุน ได้ถ่ายทอดวิชายุทธย์แขนงใหม่นี้ให้และฝึกฝนจนสามารถป้องกันตนเองได้แล้ว หย่งชุนจึงลงเขา ไท่ซ่านกลับไปหาบิดา จากนั้นหย่งชุนได้เอาวิชานี้สู้กับพวกอันธพาลที่มารังควานและรังแกประชาชนใน มลฑลนั้นจนชนะทั้งหมดจึงสร้างชื่อเสียงขึ้นมา
หลังจากนั้นหย่งชุนได้แต่งงานกับ เหลือง ปอกเชา และพยายามจะสอนวิชานี้ให้กับสามีแต่สามีไม่ยอมฝึกเพราะตัวสามีนั้นได้ฝึกฝน มวยเส้าหลินมาอย่างช่ำชองแล้วแต่หย่งชุนก็ได้แสดงฝีมือและได้เอาชนะสามีทุก ครั้ง สุดท้ายสามีจึงยอมเรียนวิชานี้กับภรรยา และจากจุดนี้จึงได้ตั้งชื่อมวยแขนงใหม่นี้ว่า หย่งชุน ตามชื่อภรรยา

ผู้หญิงทั้งๆมีรูปร่างเล็ก และบอบบางกว่าผู้ชายแต่แรงของผู้หญิงจะไปสู้กับแรงผู้ชายได้อย่างไรกัน มวยหย่งชุนเป็นมวยผู้หญิง หลักวิชาต่างๆที่ถูดคิดค้นขึ้นในวิชานี้ เน้นสำหรับผู้หญิง หย่งชุน ใช้สรีระที่ถูกต้องบวกกับความเข้าใจแรงที่แตกฉานและการฝึกฝนที่ถูกหลักวิชา มีทั้งอ่ออนและแข็ง (ไม่ใช่มวยอ่อนอย่างเดียว)และขอเน้นว่าไม่ได้เน้นกำลังภายในอะไรทำนองนั้น แต่ใช้ความเข้าใจทางสรีระและวิทยาศาสตร์

หว่องว่าโป๋ว และเหลียงหยี่ไท่
วิทยายุทธ์หย่งชุนคงจะไม่มีในวันนี้หากเหลี่ยงหล่านไกวไม่สอนใครเลย แต่ว่าเขาได้สอน หว่องว่าโป๋ว นักแสดงงิ้วแห่งคณะงิ้วเรือแดงเป็นการบังเอิญที่ปรมาจารย์ จี้ส่านก็ได้ปลอมตัวเป็นพ่อครัวในคณะงิ้วเช่นกัน จี้ส่านในเวลานั้นได้สอนลูกศิษย์อยู่จำนวนหนึ่ง เหลียงหยี่ไท นายคัดท้ายเรือคือหนึ่งนจำนวนศิษย์ซึ่งสนใจและได้รับการถ่ายทอดกระบองหกแต้ม ครึ่งหว่องว่าโป๋วและเหลี่ยงยี่ไท่ได้รู้จักชอบพอกันและแลกเปลี่ยนวิชากัน
หลังจากนั้นทั้งสองได้ดัดแปลงกระบองหกแต้มครึ่งโดยประยุกต์หลักการฟังด้วย การสัมผัสจากมวยหย่งชุนหรือชี้เสาและเรียกการฝึกฝนด้วยกระบองสัมผัสนี้ว่า ชี้กวัน
การชี้เสามีวิธีการฝึกโดยคู่ฝึกใช้แขนสัมผัสตลอดการฝึกฝนโดยต่างฝ่ายต่างฟังการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากการสัมผัสในขณะที่พยายามปิดป้องและโจมตีในเวลา เดียวกันโดยใช้แม่ไม้มวยหย่งชุนระหว่างการฝึกแขนทั้งสองฝ่ายต้องไม่หลุดสัมผัส หรือแยกจากกันเลย

เหลียงจั่น
เหลี่ยงยี่ไท่ได้สอนเหลียงจั่นศิษยืคนเดียวเมื่อเขาเกือบเขาสู่วัยชรา เหลียงจั่นเป็นหมอแผนโบราณชื่อดังแห่งฝอซาน แห่งมลฑลกวางตุ้ง เหลียงจั่นต่อมาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งมวยหมัดหยงชุน หรือ ราชามวยประลองเนื่องจากนักมวยทั่วสารทิศได้มาประลองกับเหลี่ยงจั่น แต่ทุกคนก็ได้แพ้ไปในที่สุดเหลี่ยงชุน และเหลี่ยงปิ๊ก รวมทั้งหมกหยั่นหว่า(หว่าหุ่นไม้) ผู้มีแขนทังสองอันแข็งแกร่ง ลูกศิษย์ที่สำคัญของเหลียงจั่นคือฉันหว่าซุนหรือผู้แลกเงินเจ๋าฉิ่นหว่าผู้ ซึ่งได้แอบฝึกมวยหย่งชุนโดยมองผ่านเข้ามาตามซอกประตู จนกระทั่งเหลียงจั่นจับได้หลังจากที่เหลี่ยงซุ่นและฉานหว่าซุ่นได้ทำเก้าอี้ ตัวโปรดหักระหว่างประลองกันและรับเป็นศิษย์ในที่สุด

ฉานหว่าซุนและศิษย์
ฉานหว่าซุนรับลูกศิษย์ทั้งหมดสิบหกคน มีศิษย์คนโตชื่อว่าหงึงชงโซว และศิษย์คนสุดท้ายคืออาจารย์ยิปมัน อาจารย์ยิปมันสะสมเงินเพื่อมาขอเป็นศิษย์อาจารย์ฉานหว่านซุนเมื่อเขาอายุ ได้ประมาณ 11 ปี อาจารย์ฉานหว่าซุนจึงรับยิปมันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายและสอนยิปมันเป็น เวลา 6 ปีก่อนจะเสียชีวิตหลังจากนั้นยิปมันฝึกฝนต่อภายใต้การชี้นำของศิษย์พี่ใหญ่ หงึงชงโซว ยิปมันได้เข้าศึกษาต่อที่ฮ่องกง ด้วยความคะนองได้ท้าประลองไปทั่วฮ่องกงและความหึกเฮิมมีมากขึ้นเมื่อเขาชนะเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบคนแก่คนหนึ่งซึ่งผู้คนรู้จักกันดีว่ามีความสามารถ ยิบมันแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับชายแก่คนนนั้นซึ่งแท้จริงแล้วชายแก่ผู้ นั้นคือ เหลียงปิ๊ก อาจารย์อาบุตรเหลียงจั่น หรือศิษย์น้องของฉานหว่าซุนนั้นเอง ยิปมันหลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงลาอาจารย์กลับเมืองจีน
ยิปมัน และ ศิษยหลังจากที่คอมมิวนิสต์เข้าปฎิวัติประเทศจีน ยิปมันจึงอพยบมาที่ฮ่องกงอีกครั้ง และจึงเริ่มรับลูกศิษย์ทั่วไปมากมายมี ฮอกกิ่นเชียง และอื่นๆ อาจารย์เหล่านี้ได้เผยแพร่มวยหย่งชุนจนมีผู้ฝึกฝนทั่วโลกในบัจจุบันเป็น จำนวนมากมาย

บรู๊ซลีได้ไปอมเริกาและได้นำหมัดช่วงสั้นหนึ่งนิ้วและสามนิ้วไปสาธิตที่การ แข่งขันศิลปป้องกันตัวของ ed parker ครูมวยคาราเต้รับบอเมริกันแคมโบ้ (American kempo) จนเป็นที่ตื่นเต้นแก่ผู้สนใจเป็นจำนวนมากและเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ เคโต้ และอ้ายหนุ่มซินตึ้ง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ยิปมันเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เมื่อยิปมันไม่ยอมถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับบรู๊ซได้ในเวลาอันสั้นด้วยความผิดหวัง บรู๊ซจึงได้คิดค้นมวยของตนเองขึ้นมาแล้วตัวชื่อว่า จิ๊ตคุนโด หรือวิชาหยุดหมัด สำหรับผู้ที่รู้จักมวยทั้งสองแล้วย่อมรู้ว่าบรู๊ซได้คงไว้ ซึ่งหลักวิชาหย่งชุนไว้อย่างมาก
ยิปมันเสียชีวิตลงในปี ค.ศ 1972 และถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ในยุคบัจุบันของหย่งชุน เคียงข้าง เซ็งหม่านชิง(แต้หมั่งแช-แต้จิ๋ว) แห่งสำนักไทเก็ก ยูอิชิบ้าแห่งสำนักไอคิโด ส่วนบรู๊ซลีเสียชีวิตอีกหนึ่งปีถัดมา

เจี้ยงฮกกิ่น จูเสาไหล่ และอนันต์ ทินะพงศ์
บรู๊ซลีมีเพื่อนสนิทในโรงเรียนและสำนักมวย ชื่อเจี๊ยงฮกกิ่น ทั้งคู่เรียนหนังสือและวิชาป้องกันตัวและออกประลองด้วยกัน ทั้งคู่ฝึกมวยหย่งชุนภายใต้การชี้แนะของยิปมันและศิษย์พี่จอมราวีหว่องซัม เหลียงและเจียงจกเฮง เจียงฮกกิ่นนอกจากการศึกษาวิชามวยหย่งชุนแลวยังได้ศึกษามวยไทเก็กตระกูลวู และบัจุบันได้สอนมวยทั้งสองชนิดนี้เป็นการส่วนตัวที่ รํฐลอสแองเจิลลิส อเมริกาและได้รับศิษย์เอกในวิชาหย่งชุนคือจูเสาไหล่
อาจารย์จูเสาไหล่ศึกษาศิลปป้องกันตัวตั้งแต่เล็กๆในวิชาคาราเต้โชชินริว ต่อมาได้ฝึกมวยตระกูลหงทั้งหมดในฐานะศิษย์เอกจากยี่จีเหว่ย ศิษย์อาจารย์ต๋องฟ้งศิษย์อาจารย์หวองเฟยหง อาจารย์จูเสาไหล่ได้ให้ความสนใจหมัดหย่งชุนมาเป็นเวลานานจึงได้เริ่มหัดมวย หยงชุน กับ อากว้าน ศิษย์หย่งชุนสำนักซีมเซียวซาน หลีหมุ่ยซาน ศิษย์อาจารย์หมุ่ยยัดศิษย์อาจารย์ยิปมัน อาจารย์จูเสาไหล่ยังได้พัฒนาตัวเองเพิ่มเติมจากอาจารย์หลุ่ยหยันซัน ราชากระบองแดนใต้และมวยซิ่งยี่หมัดจากใจและไทเก็ก อาจารย์จูเสาไหล่ยังศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์ฮอกกิ่นเป็นครั้งคราวเมื่อ อาจารย์อยู่ลอสแองเจิลลิส อเมริกา จึงได้กราบเป็นศิษย์อาจารย์ฮอกกิ่นจนถึงทุกวันนี้
อาจารย์อนันต์ได้เรียนรู้วิชาป้องกันตัวตั้งแต่อายุ 11 ปี ในวิชาเทควันโด้และมวยเสี้ยวลิ้มใต้จากอาจารย์คันศรเป็นเวลา 6-7 ปี และมวยไทยเมื่อคุณพ่อได้เปิดค่ายมวยไทยหลังจากนั้นจึงเดินทางไปเรียนต่อที่ อมเริกาขณะที่อยู่อมเริกาอาจารย์อนันต์ได้คลุกลีกับศิลปป้องกันตัวโดยตลอด โดยได้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายอุปกรณ์กีฬาป้องกันตัวเป็นเวลา10ปีที่นี่เอง อาจารย์อนันต์ได้พบกับอาจารย์จูเสาไหล่จนเป็นมิตรที่สนิทและได้แลกเปลี่ยน วิชากันถ้าใครแพ้ก็ต้องเรียนวิชาอีกฝ่ายหนึ่งและก็ต้องถ่ายทอดสื่งที่ตนเรียนมาให้โดยไม่มีเงื่อนไข
อาจารย์อนันต์ได้เรียนรู้วิชาหย่งชุนกับอาจารย์จูเสาไหล่เป็นเวลาหลายปีก่อนจะกลับเมืองไทยในปี ค.ศ. 1988 จากนั้นจึงเริ่มสอนวิชามวยหย่งชุนเป็นต้นมา