Sponsor

07 กันยายน 2568

The Emerald Tablet - คัมภีร์มรกตของเฮอร์เมส แปลไทย


คัมภีร์มรกตของเฮอร์เมส เป็นจารึกขนาดสั้นที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เป็นความลับจากผู้ที่เคยครอบครองมัน ทำให้มีคำเล่าลือกันว่าข้อความบนจารึกแห่งภูมิปัญญาแผ่นนี้เป็นจารึกแห่งความลับที่บันทึกกฏแห่งจักรวาล ซึ่งเขียนอยู่ในรูปแบบที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับและยากจะเข้าใจ แต่หากผู้ใดเข้าใจถึงวิธีการและนำมาปฏิบัติด้วยศรัทธาและปัญญา ผู้นั้นจะสามารถดึงดูดทุกสิ่งที่ปรารถนานามาสู่ตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่งร่ำรวย ความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ และอื่นๆ ได้ทุกสิ่งตามแต่ปรารถนา

สำนักพิมพ์ Harirak Farm
เฮอร์เมส ทริสเมจิสทัส - เขียน
กนกเกียรติ หริรักษ์หรรษา - แปล

อ่าน eBook คัมภีร์มรกตของเฮอร์เมส แปลไทย ฟรี ได้ที่ https://cutt.ly/jel9LFoJ

06 กันยายน 2568

เมอร์คาบาสมาธิ - การหายใจแบบทรงกลม 18 ครั้ง


เมอร์คาบาสมาธิ (Mer-Ka-Ba Meditation)

ในคำสอนเชิงลี้ลับยุคใหม่ มีการสอนว่าเมอร์คาบา (Merkaba; Merkabah) คือยานพาหนะข้ามมิติซึ่งประกอบด้วยพีระมิดฐานสามเหลี่ยม (tetrahedra) สองอันที่เชื่อมต่อกัน ณ จุดศูนย์กลาง มีขนาดเท่ากัน อันหนึ่งชี้ขึ้นและอีกอันชี้ลง รูปทรงที่มีสมมาตรแบบจุดนี้เรียกว่า สเตลลาออกแทงกูลา (stella octangula) หรือ สเตลเลตออกตาฮีดรอน (stellated octahedron) ซึ่งสามารถสร้างได้จากการขยายพื้นผิวของรูปทรงแปดหน้าปกติ (regular octahedron) จนกระทั่งพื้นผิวเหล่านั้นมาตัดกัน

ในหนังสือของเขา นักวิจัยและนักฟิสิกส์ชื่อ ดรันวาโล เมลคิเซเดค อธิบายรูปทรงนี้ว่าเป็น "เตตราฮีดรอนรูปดาว" (Star Tetrahedron) เนื่องจากมันสามารถมองได้ว่าเป็นดาวเดวิดในรูปแบบสามมิติ โดยการจินตนาการให้ "เตตราฮีดรอนรูปดาว" สองชุดซ้อนทับกันแล้วหมุนสวนทางกัน พร้อมกับเทคนิคการหายใจแบบ "ปราณ" ที่เฉพาะเจาะจง การเคลื่อนไหวของดวงตา และการใช้มุทรา (ท่ามือ) มีการสอนว่าหนึ่งในนั้นสามารถกระตุ้นสนามพลังงานรูปทรง "จานบิน" ที่มองไม่เห็นให้เกิดขึ้นรอบร่างกายมนุษย์ ซึ่งยึดอยู่กับที่ฐานกระดูกสันหลัง สนามพลังนี้มีขนาดประมาณ 55 ฟุตเมื่อวัดตามความสูงของผู้ฝึก เมื่อถูกกระตุ้นแล้ว สนามพลังรูปทรง "จานบิน" นี้จะสามารถพาจิตสำนึกของบุคคลนั้นเดินทางไปยังมิติที่สูงกว่าได้โดยตรง

สอนการหายใจแบบทรงกลม - การหายใจ 18 ครั้ง (The Teaching Of Spherical Breathing: Using 18 Breaths)

โดย ดรันวาโล เมลคิเซเดค (Drunvalo Melchizedek)
แปล กนกเกียรติ หริรักษ์หรรษา
*ความเห็นเพิ่มเติมของผู้แปลจะอยู่ในวงเล็บเหลี่ยม [ ]
หากผิดพลาดขาดตกบกพร่องประการใด ข้าพเจ้าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

มีการหายใจ 17+1 ครั้ง โดย 6 ครั้งแรกเพื่อสร้างสมดุลขั้วพลัง, 7 ครั้งถัดมาเพื่อการไหลเวียนของพลังปราณที่เหมาะสมทั่วร่างกาย การหายใจครั้งต่อไปคือการเปลี่ยนจิตสำนึกจากมิติที่ 3 ไปยังมิติที่ 4 และสุดท้ายการหายใจ 3 ครั้งสุดท้ายคือการสร้างเมอร์คาบาที่หมุนอยู่ภายในและรอบตัวขึ้นมา การหายใจครั้งสุดท้าย (ครั้งที่ 18) จะไม่มีการสอนในบทความนี้ ให้ปฏิบัติการทำสมาธินี้ทุกวัน วันละครั้ง จนกว่าจะถึงเวลาที่คุณสามารถหายใจได้อย่างมีสติ และจดจำถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกลมหายใจ

การหายใจครั้งที่ 1: หายใจเข้า

หัวใจ: เปิดหัวใจของคุณและรู้สึกถึงความรักต่อสรรพชีวิต หากทำไม่ได้ ให้เปิดรับความรักนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือคำแนะนำที่สำคัญที่สุด

จิต: รับรู้ถึงพีระมิดชาย (male tetrahedron) [พีระมิดฐานสามเหลี่ยมปลายแหลมชี้ขึ้นบน] (ปลายแหลมชี้ขึ้นไปหาตะวัน, ปลายฐานด้านหนึ่งหันไปข้างหน้าสำหรับผู้ชาย, ปลายฐานหนึ่งหันไปข้างหลังสำหรับผู้หญิง) ที่เต็มไปด้วยแสงสีขาวบริสุทธิ์ล้อมรอบร่างกายของคุณ จินตภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากจินตภาพไม่ได้ให้รับรู้หรือรู้สึกถึงมัน

ร่างกาย: ในขณะเดียวกันที่หายใจเข้า ให้วางมือในท่ามุทรา โดยให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้แตะกัน เบาๆ อย่าให้นิ้วที่เหลือแตะกันหรือแตะวัตถุอื่น ฝ่ามือหงายขึ้น

ลมหายใจ: ในขณะนี้ ให้เริ่มหายใจแบบโยคะ (yogic manner) อย่างสมบูรณ์โดยที่ปอดว่างเปล่า หายใจผ่านรูจมูกเท่านั้น เว้นแต่บางส่วนที่จะอธิบายต่อไป พูดง่ายๆคือหายใจจากท้องก่อน จากนั้นใช้กระบังลม และสุดท้ายคือหน้าอก ทำทั้งหมดในจังหวะเดียว ไม่แบ่งเป็นสามส่วน การหายใจออกทำโดยการเกร็งหน้าอกแล้วคลายท้องเพื่อปล่อยอากาศออกช้าๆ หรือเกร็งท้องแล้วคลายหน้าอก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหายใจต้องเป็นไปตามจังหวะ เริ่มจากใช้เวลา 7 วินาทีในการหายใจเข้าและ 7 วินาทีในการหายใจออก แต่เมื่อคุ้นเคยกับการทำสมาธินี้แล้ว ให้หาจังหวะของตัวเอง

การหายใจครั้งที่ 1: หายใจออก

หัวใจ: รัก

จิต: รับรู้ถึงพีระมิดหญิง (female tetrahedron) [พีระมิดฐานสามเหลี่ยมปลายแหลมชี้ลงล่าง] (ปลายแหลมชี้ลงสู่พื้นโลก, ปลายฐานหนึ่งหันไปข้างหลังสำหรับผู้ชาย, ปลายฐานหนึ่งหันไปข้างหน้าสำหรับผู้หญิง) ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีขาวบริสุทธิ์เช่นกัน

ร่างกาย: รักษาท่ามุทราเดิม

ลมหายใจ: อย่าลังเลที่จะเริ่มหายใจออกทันทีหลังจากหายใจเข้าจนสุด หายใจออกช้าๆ ประมาณ 7 วินาที ในแบบโยคะ เมื่ออากาศออกจากปอดจนหมดโดยไม่บังคับ ให้ผ่อนคลายหน้าอกและท้อง แล้ว กลั้นลมหายใจไว้ เมื่อรู้สึกอยากหายใจอีกครั้ง (ประมาณ 5 วินาที) แล้วให้ทำตามนี้:

จิต: รับรู้ถึงสามเหลี่ยมด้านเท่าแบนๆที่อยู่บนพีระมิดหญิงในแนวระนาบ [ฐานของพีระมิดฐานสามเหลี่ยม] ที่ผ่านหน้าอกของคุณที่กระดูกหน้าอก (sternum) ในพริบตาและด้วยพลังคล้ายชีพจร ให้ส่งระนาบสามเหลี่ยมนั้นลงไปตามพีระมิดหญิง มันจะเล็กลงเมื่อเคลื่อนที่ลงไป และจะผลักพลังงานลบทั้งหมดของท่ามุทราหรือวงจรไฟฟ้าออกไปทางปลายยอดของพีระมิด [ที่ชี้ลงดิน] จะมีแสงพุ่งออกจากปลายยอดนั้นไปยังใจกลางโลก การฝึกจิตนี้ทำไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของร่างกายดังต่อไปนี้:

ร่างกาย: กรอกตาเข้าหากันเล็กน้อย หรือพูดง่ายๆ คือเหล่ตาเล็กน้อย ตอนนี้ให้กรอกตาขึ้นไปด้านบนสุดของเบ้าตา หรือพูดง่ายๆ คือมองขึ้นไป การมองขึ้นไปนี้ไม่ควรทำอย่างรุนแรง คุณจะรู้สึกเสียวซ่าระหว่างดวงตาในบริเวณตาที่สามของคุณ ตอนนี้คุณสามารถมองลงไปยังจุดต่ำสุดที่คุณทำได้ อย่างรวดเร็วที่สุด คุณควรจะรู้สึกถึงความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าแลบลงไปตามกระดูกสันหลัง จิตและร่างกายต้องประสานการฝึกจิตกับดวงตาเข้าด้วยกัน ดวงตามองลงจากตำแหน่งที่มองขึ้นไปในขณะที่จิตเห็นระนาบสามเหลี่ยมในแนวนอนของพีระมิดหญิงเคลื่อนที่ลงไปที่ยอดของพีระมิดหญิง การฝึกผสมนี้จะช่วยชำระล้างความคิดและความรู้สึกเชิงลบที่เข้ามาในระบบไฟฟ้าของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันจะทำความสะอาดส่วนของระบบไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับท่ามุทราที่คุณใช้ ทันทีที่พลังงานพุ่งลงไปตามกระดูกสันหลัง คุณจะเปลี่ยนท่ามุทราเป็นท่าถัดไปและเริ่มรอบใหม่ทั้งหมด การหายใจห้าครั้งถัดไปเป็นการทำซ้ำการหายใจครั้งแรกด้วยการเปลี่ยนท่ามุทราดังนี้:

มุทราการหายใจครั้งที่ 2: นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางแตะกัน

มุทราการหายใจครั้งที่ 3: นิ้วหัวแม่มือและนิ้วนางแตะกัน

มุทราการหายใจครั้งที่ 4: นิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแตะกัน

มุทราการหายใจครั้งที่ 5: นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้แตะกัน (เหมือนการหายใจครั้งแรก)

มุทราการหายใจครั้งที่ 6: นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางแตะกัน (เหมือนการหายใจครั้งที่สอง)

ส่วนแรกคือการหายใจ 6 ครั้งแรก การสร้างสมดุลของขั้วพลัง และการชำระล้างระบบไฟฟ้าของคุณเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้คุณพร้อมสำหรับส่วนถัดไป คือการหายใจ 7 ครั้งถัดไป ตอนนี้รูปแบบการหายใจใหม่ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องจินตภาพเตตราฮีดรอนรูปดาวอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ต้องเห็นและทำงานด้วยคือหลอดที่วิ่งผ่านดาว จากยอดของพีระมิดชายที่อยู่เหนือศีรษะของคุณไปยังยอดของพีระมิดหญิงที่อยู่ใต้เท้าของคุณ หลอดนี้ขยายออกไปหนึ่งความยาวมือเหนือศีรษะและหนึ่งความยาวมือใต้เท้า เส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดของคุณจะมีขนาดเท่ากับรูที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของคุณสัมผัสกัน

การหายใจครั้งที่ 7: หายใจเข้า

หัวใจ: รัก มีการปรับปรุงอีกอย่างที่สามารถใช้ได้หลังจากคุณทำสมาธินี้จนสมบูรณ์แบบแล้ว

จิต: จินตภาพหรือรู้สึกถึงท่อที่วิ่งผ่านร่างกายของคุณ ทันทีที่คุณเริ่มหายใจเข้าครั้งที่ 7 ให้เห็นแสงสีขาวบริสุทธิ์ของปราณที่เคลื่อนที่ลงไปตามท่อจากด้านบน และเคลื่อนที่ขึ้นไปตามท่อจากด้านล่างในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นเกือบจะในทันที จุดที่ลำแสงทั้งสองมาบรรจบกันในร่างกายของคุณถูกควบคุมโดยจิตใจและเป็นศาสตร์อันไพศาลที่รู้จักกันทั่วทั้งจักรวาล อย่างไรก็ตาม ในคำสอนนี้ เราจะแสดงเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น สิ่งที่จะพาคุณจากมิติที่สามไปสู่การตระหนักรู้ในมิติที่สี่ ในกรณีนี้ คุณจะนำลำแสงปราณทั้งสองมาบรรจบกันที่สะดือของคุณ หรือที่ถูกต้องกว่าคือภายในร่างกายของคุณในระดับสะดือ ภายในท่อนั้น ทันทีที่ลำแสงปราณทั้งสองมาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นทันทีที่เริ่มหายใจเข้า จะเกิดทรงกลมของแสงสีขาวหรือปราณขึ้นที่จุดบรรจบกันนั้น โดยมีขนาดประมาณเกรปฟรุต [ประมาณผลส้ม] และมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ท่อ ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา เมื่อคุณหายใจเข้าครั้งที่ 7 ต่อไป ทรงกลมของปราณจะเริ่มรวมตัวกันและเติบโตอย่างช้าๆ

ร่างกาย: สำหรับการหายใจ 7 ครั้งถัดไป ให้ใช้มุทราเดียวกันทั้งการหายใจเข้าและออก คือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลางแตะกัน ฝ่ามือหงายขึ้น

ลมหายใจ: หายใจแบบโยคะเป็นจังหวะและลึก 7 วินาทีเข้าและ 7 วินาทีออก ไม่มี การกลั้นหายใจอีกต่อไป การไหลของปราณจากขั้วทั้งสองจะไม่หยุดหรือเปลี่ยนไปในทางใดเมื่อคุณเปลี่ยนจากการหายใจเข้าเป็นการหายใจออก มันจะเป็นการไหลอย่างต่อเนื่องที่จะไม่หยุดตราบเท่าที่คุณหายใจด้วยวิธีนี้ แม้กระทั่งหลังจากความตาย

การหายใจครั้งที่ 7: หายใจออก

จิต: ปราณทรงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่สะดือยังคงเติบโตต่อไป เมื่อหายใจออกจนสุด ปราณทรงกลมจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 หรือ 9 นิ้ว

ลมหายใจ: อย่าบังคับอากาศออกจากปอด เมื่อปอดของคุณว่างเปล่าตามธรรมชาติ ให้เริ่มหายใจถัดไปทันที

การหายใจครั้งที่ 8: หายใจเข้า

หัวใจ: รัก

จิต: ปราณทรงกลมยังคงรวมพลังชีวิตและเติบโตในขนาด

การหายใจครั้งที่ 8: หายใจออก

จิต: ปราณทรงกลมยังคงเติบโตในขนาดและจะถึงขนาดสูงสุดเมื่อสิ้นสุดลมหายใจนี้ ขนาดสูงสุดนี้แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากคุณแตะนิ้วที่ยาวที่สุดของคุณที่กึ่งกลางสะดือ เส้นที่ข้อมือของคุณกำหนดที่ขอบเขตมือจะแสดงให้คุณเห็นรัศมีของขนาดสูงสุดของทรงกลมนี้สำหรับคุณ [ปราณทรงกลมขยายจนมีรัศมีห่างจากสะดือประมาณหนึ่งฝ่ามือ] ปราณทรงกลมนี้ไม่สามารถเติบโตได้อีก

การหายใจครั้งที่ 9: หายใจเข้า

จิต: ปราณทรงกลมไม่สามารถเติบโตได้อีก ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือปราณเริ่มรวมตัวกันภายในทรงกลม รูปลักษณ์ที่มองเห็นได้คือทรงกลมจะ สว่างขึ้น

ลมหายใจ: ทรงกลมจะสว่างขึ้นเรื่อยๆเมื่อคุณหายใจเข้า

การหายใจครั้งที่ 9: หายใจออก

ลมหายใจ: เมื่อคุณหายใจออก ทรงกลมจะยังคงสว่างขึ้นเรื่อยๆ

การหายใจครั้งที่ 10: หายใจเข้า

จิต: เมื่อหายใจเข้าถึงครึ่งทาง และทรงกลมยังคงสว่างขึ้น ทรงกลมปราณจะถึงมวลวิกฤต (critical mass) ทรงกลมจะลุกเป็นไฟกลายเป็นดวงอาทิตย์ เป็นลูกบอลแสงสีขาวที่สว่างจ้า คุณพร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไปแล้ว

การหายใจครั้งที่ 10: หายใจออก

จิต: ในขณะที่หายใจออก ทรงกลมเล็กๆที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสองความยาวมือจะโป่งออกและขยายตัว ในหนึ่งวินาที เมื่อรวมกับการหายใจที่กล่าวถึงด้านล่าง ทรงกลมจะขยายตัวอย่างรวดเร็วไปยังทรงกลมของลีโอนาร์โด ไปที่ปลายนิ้วของคุณเมื่อกางแขนออก ร่างกายของคุณตอนนี้ถูกห้อมล้อมด้วยทรงกลมขนาดใหญ่ของแสงสีขาวบริสุทธิ์ [ทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 วา หรือระยะกางแขนสองข้างและแบมือออกจนสุด] คุณได้กลับไปสู่รูปแบบโบราณของการหายใจแบบทรงกลมแล้ว อย่างไรก็ตาม ในจุดนี้ ทรงกลมนี้ยังไม่เสถียร คุณ ต้อง หายใจอีกสามครั้งเพื่อทำให้ทรงกลมเสถียร

ลมหายใจ: ในขณะที่หายใจออก ให้ทำปากเป็นรูเล็กๆ แล้วเป่าลมออกด้วยแรงดัน เมื่อคุณรู้สึกว่าทรงกลมเริ่มโป่งออก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในหนึ่งวินาทีแรกของการหายใจออก ให้ปล่อยอากาศทั้งหมดออกอย่างรวดเร็ว ทรงกลมจะขยายตัวในขณะนั้น

การหายใจครั้งที่ 11, 12 และ 13: หายใจเข้าและหายใจออก

จิต: ผ่อนคลายและเพียงแค่รู้สึกถึงการไหลของปราณที่ไหลจากขั้วทั้งสองมาบรรจบกันที่สะดือแล้วขยายออกไปสู่ทรงกลมขนาดใหญ่

ลมหายใจ: หายใจเป็นจังหวะและลึก เมื่อสิ้นสุดการหายใจครั้งที่ 13 คุณได้ทำให้ทรงกลมขนาดใหญ่เสถียรแล้วและพร้อมสำหรับการหายใจครั้งที่ 14 ที่สำคัญ

การหายใจครั้งที่ 14

หัวใจ: รัก

จิต: ในการหายใจเข้าครั้งที่ 14 ในช่วงเริ่มต้นของลมหายใจ ให้ย้ายจุดที่ลำแสงปราณสองลำมาบรรจบกันจากสะดือไปยังกระดูกหน้าอก ซึ่งเป็นจักระมิติที่สี่ ทรงกลมขนาดใหญ่ทั้งหมด พร้อมกับทรงกลมดั้งเดิมซึ่งยังคงอยู่ในทรงกลมขนาดใหญ่ จะเคลื่อนที่ขึ้นไปยังจุดบรรจบกันใหม่ภายในท่อ แม้ว่าสิ่งนี้จะทำได้ง่าย แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่มีพลังมหาศาล การหายใจจากจุดใหม่นี้ภายในท่อจะเปลี่ยนการรับรู้ของคุณจากจิตสำนึกมิติที่สามไปสู่จิตสำนึกมิติที่สี่ หรือจากจิตสำนึกแบบโลกไปสู่จิตสำนึกแบบพระคริสต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ร่างกาย: มุทรานี้จะถูกใช้ตลอดการทำสมาธิที่เหลือ วางฝ่ามือซ้ายบนฝ่ามือขวาสำหรับผู้ชายและฝ่ามือขวาบนฝ่ามือซ้ายสำหรับผู้หญิง เป็นมุทราที่ทำให้ผ่อนคลาย [ฝ่ามือคว่ำประกบเข้าด้วยกัน?]

ลมหายใจ: หายใจเป็นจังหวะและลึก อย่างไรก็ตาม หากคุณยังคงหายใจจากศูนย์กลางพระคริสต์โดยไม่ไปต่อที่เมอร์คาบา ซึ่งเป็นสิ่งที่แนะนำจนกว่าคุณจะติดต่อกับจิตสำนึกชั้นสูง (Higher Self) ของคุณได้ ให้เปลี่ยนเป็นการหายใจที่ตื้นขึ้น พูดอีกอย่าง คือ หายใจเป็นจังหวะ แต่ในลักษณะที่สบายซึ่งความสนใจของคุณจะอยู่ที่การไหลของพลังงานที่เคลื่อนที่ขึ้นและลงตามท่อ มาบรรจบกันที่กระดูกหน้าอกและขยายออกไปสู่ทรงกลมขนาดใหญ่ เพียงแค่รู้สึกถึงการไหล ใช้ด้านที่เป็นหญิง (feminine side) ของคุณเพื่อเพียงแค่เป็น ในจุดนี้ไม่ต้องคิด เพียงแค่หายใจ รู้สึก และเป็น รู้สึกถึงความสัมพันธ์ของคุณกับสรรพชีวิตผ่านลมหายใจแห่งพระคริสต์ จดจำความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้าของคุณ

เมอร์คาบา ยานพาหนะแห่งการยกระดับ (The Mer-Ka-Ba, The Vehicle Of Ascension)

การหายใจสามครั้งสุดท้าย

คุณไม่ควรพยายามทำส่วนที่สี่นี้จนกว่าคุณจะได้ติดต่อกับจิตสำนึกชั้นสูงของคุณแล้ว และ จิตสำนึกชั้นสูงของคุณได้ให้อนุญาตให้คุณดำเนินการต่อได้ ส่วนนี้ต้องทำอย่างจริงจัง พลังงานที่จะเข้ามาและล้อมรอบร่างกายและจิตวิญญาณของคุณมีพลังมหาศาล หากคุณยังไม่พร้อม คุณอาจทำร้ายตัวเองได้ [ฝึกแค่ 14 ลมหายใจไปก่อน ไม่ควรฝึกขั้นตอนต่อไป หากยังไม่เชื่อมต่อกับจิตสำนึกชั้นสูง] หากจิตสำนึกชั้นสูงของคุณอนุญาตให้คุณเข้าไปในเมอร์คาบาแล้ว อย่ากลัว เพราะคุณจะพร้อม

การหายใจครั้งที่ 15: หายใจเข้า

หัวใจ: รัก

จิต: รับรู้ถึงเตตราฮีดรอนรูปดาวทั้งหมด [พีระมิดฐานสามเหลี่ยมทั้งที่ปลายชี้ขึ้นและชี้ลง] ตระหนักว่ามีเตตราฮีดรอนรูปดาวทั้งหมดสามอันซ้อนทับกันอยู่ อันหนึ่งคือตัวร่างกายเอง และถูกล็อคอยู่กับที่และไม่เคลื่อนที่ ยกเว้นในบางสภาวะ มันถูกจัดวางรอบร่างกายตามความเป็นชายหรือความเป็นหญิง เตตราฮีดรอนรูปดาวทั้งหมดอันที่สองมีธรรมชาติเป็นชาย เป็นไฟฟ้า เป็นจิตใจของมนุษย์ และหมุนทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากร่างกายของคุณ หรืออีกนัยหนึ่งคือมันหมุนไปทางซ้ายมือของคุณ เตตราฮีดรอนรูปดาวทั้งหมดอันที่สามมีธรรมชาติเป็นหญิง เป็นแม่เหล็ก เป็นร่างกายอารมณ์ของมนุษย์ และหมุนตามเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากร่างกายของคุณ หรืออีกนัยหนึ่งคือมันหมุนไปทางขวามือของคุณ

เพื่อให้ชัดเจน เราไม่ได้บอกให้คุณหมุนเตตราฮีดรอนชายไปทางหนึ่งและเตตราฮีดรอนหญิงไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเราพูดว่าหมุนเตตราฮีดรอนรูปดาวทั้งหมด เราหมายถึงทั้งหมด

[จินตนาการว่ามีเตตราฮีดรอนรูปดาว 3 ชุดขนาดเท่ากันและซ้อนทับกันอยู่ในบริเวณเดียวกันรอบร่างกาย ชุดแรกเป็นเตตราฮีดรอนรูปดาวของร่างกายซึ่งอยู่นิ่งไม่หมุน, ชุดที่สองเป็นเตตราฮีดรอนรูปดาวของจิตใจ ทั้งชุดหมุนทวนเข็มนาฬิกา, ชุดที่สามเป็นเตตราฮีดรอนรูปดาวของอารมณ์ ทั้งชุดหมุนตามเข็มนาฬิกา]

ในการหายใจเข้าครั้งที่ 15 ขณะที่คุณกำลังหายใจเข้า คุณจะพูดกับตัวเองในใจว่ารหัสคำว่า ความเร็วเท่ากัน (EQUAL SPEED) สิ่งนี้จะบอกจิตใจของคุณว่าคุณต้องการให้เตตราฮีดรอนรูปดาวที่หมุนได้ทั้งสองชุดเริ่มหมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามด้วยความเร็วที่เท่ากันในขณะที่หายใจออก หมายความว่าในการหมุนที่สมบูรณ์ทุกครั้งของเตตราฮีดรอนจิตใจ จะมีการหมุนที่สมบูรณ์หนึ่งครั้งของเตตราฮีดรอนอารมณ์

ร่างกาย: ใช้มุทราของมือที่พับกันต่อไปจากนี้

ลมหายใจ: หายใจแบบโยคะเป็นจังหวะและลึกอีกครั้ง แต่เฉพาะสำหรับการหายใจสามครั้งถัดไป หลังจากนั้นให้กลับไปหายใจแบบตื้นๆ

การหายใจครั้งที่ 15: หายใจออก

จิต: เตตราฮีดรอนทั้งสองชุดเริ่มหมุน ในพริบตา มันจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ปลายด้านนอกที่หนึ่งในสามของความเร็วแสง คุณอาจไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้เนื่องจากความเร็วที่มหาศาล แต่คุณสามารถรู้สึกได้ สิ่งที่คุณเพิ่งทำไปคือการสตาร์ท มอเตอร์ของเมอร์คาบา คุณจะยังไม่ไปที่ไหนหรือมีประสบการณ์ใดๆ มันก็เหมือนกับการสตาร์ทมอเตอร์รถยนต์ แต่เกียร์ยังอยู่ในตำแหน่งว่าง

ลมหายใจ: ทำปากเป็นรูเล็กๆเหมือนที่คุณทำกับการหายใจครั้งที่ 10 เป่าลมออกในลักษณะเดียวกัน และเมื่อคุณทำเช่นนั้น ให้รู้สึกถึงเตตราฮีดรอนทั้งสองชุดที่เริ่มหมุน

การหายใจครั้งที่ 16: หายใจเข้า

จิต: เมื่อคุณหายใจออก เตตราฮีดรอนทั้งสองชุดจะเพิ่มความเร็วจากหนึ่งในสามของความเร็วแสงเป็นสองในสามของความเร็วแสงในพริบตา เมื่อพวกมันเข้าใกล้ความเร็วสองในสามของความเร็วแสง จะเกิดปรากฏการณ์ขึ้น จานที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 55 ฟุตจะก่อตัวขึ้นรอบๆร่างกายในระดับฐานของกระดูกสันหลัง และทรงกลมของพลังงานที่มีศูนย์กลางอยู่รอบๆเตตราฮีดรอนทั้งสองชุดจะก่อตัวพร้อมกับจานเพื่อสร้างรูปร่างที่ดูเหมือน จานบิน รอบๆร่างกาย เมทริกซ์พลังงานนี้ถูกเรียกว่า เมอร์คาบา (MER-KA-BA) อย่างไรก็ตาม มันยังไม่เสถียร หากคุณเห็นหรือรู้สึกถึงเมอร์คาบารอบตัวคุณในจุดนี้ คุณจะรู้ว่ามันไม่เสถียร มันจะสั่นคลอนช้าๆ ดังนั้นการหายใจครั้งที่ 17 จึงจำเป็น

ลมหายใจ: เหมือนการหายใจครั้งที่ 16 ทำปากเป็นรูเล็กๆ แล้วเป่าลมออกด้วยแรงดัน ในจุดนี้ความเร็วจะเพิ่มขึ้น เมื่อคุณรู้สึกถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น ให้ปล่อยลมหายใจทั้งหมดออกด้วยแรง การกระทำนี้จะทำให้ความเร็วที่สูงขึ้นถูกบรรลุอย่างสมบูรณ์และเมอร์คาบาถูกสร้างขึ้น

การหายใจครั้งที่ 17: หายใจเข้า

หัวใจ: จำไว้ว่าต้องรู้สึกถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขต่อสรรพชีวิตตลอดการทำสมาธินี้ทั้งหมด มิฉะนั้นจะไม่มีผลลัพธ์ใดๆ

จิต: เมื่อคุณหายใจเข้า ให้พูดกับตัวเองในใจว่ารหัส เก้าในสิบของความเร็วแสง (NINE TENTHS THE SPEED OF LIGHT) รหัสนี้จะบอกจิตใจของคุณให้เพิ่มความเร็วของเมอร์คาบาเป็นเก้าในสิบของความเร็วแสง ซึ่งจะทำให้สนามพลังงานที่หมุนอยู่เสถียร นอกจากนี้ยังจะทำสิ่งอื่นด้วย จักรวาลมิติที่สามที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกปรับให้เข้ากับความเร็ว 9/10 ของความเร็วแสง อิเล็กตรอนทุกตัวในร่างกายของคุณหมุนรอบอะตอมทุกตัวในร่างกายของคุณด้วยความเร็ว 9/10 ของความเร็วแสง นี่คือเหตุผลที่ความเร็วเฉพาะนี้ถูกเลือก

ลมหายใจ: หายใจเป็นจังหวะและแบบโยคะ

การหายใจครั้งที่ 17: หายใจออก

จิต: ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 9/10 ของความเร็วแสงและทำให้เมอร์คาบาเสถียร

ลมหายใจ: เหมือนการหายใจครั้งที่ 15 และ 16 ทำปากเป็นรูเล็กๆ แล้วเป่าลมออกด้วยแรงดัน เมื่อคุณรู้สึกถึงความเร็วที่พุ่งขึ้น ให้ปล่อยลมหายใจทั้งหมดออกด้วยแรง คุณตอนนี้อยู่ในเมอร์คาบาที่เสถียรและถูกปรับให้เข้ากับมิติที่สามแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากจิตสำนึกชั้นสูงของคุณ คุณจะเข้าใจว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรจริงๆ

การหายใจครั้งที่ 18

การหายใจที่พิเศษมากนี้จะไม่มีการสอนที่นี่ คุณต้องได้รับจากจิตสำนึกชั้นสูงของคุณ เป็นการหายใจที่จะพาคุณทะลุความเร็วแสงเข้าสู่มิติที่สี่ คุณจะหายไปจากโลกนี้และปรากฏขึ้นในอีกโลกหนึ่งซึ่งจะเป็นบ้านใหม่ของคุณชั่วขณะ นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตัวของจิตสำนึกที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งจะพาคุณกลับ บ้าน สู่ พระบิดา ของคุณ


อ้างอิง

04 กันยายน 2568

Elbereth คำศักดิ์สิทธิ์ใน NetHack


คำว่า Elbereth มีที่มาจากงานเขียนของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J. R. R. Tolkien) ผู้สร้างโลกแห่งมิดเดิลเอิร์ธ (Middle-earth) เช่น The Lord of the Rings ครับ

ในตำนานของโทลคีน Elbereth เป็นอีกชื่อหนึ่งของ วาร์ดา (Varda) หนึ่งในเทพีที่ทรงอำนาจสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์วาลา (Valar) ซึ่งเป็นผู้สร้างและดูแลโลก เธอดำรงตำแหน่งเป็น "ราชินีแห่งดวงดาว" และได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเอลฟ์เป็นอย่างมาก

ชื่อเต็มของเธอในภาษาซินดารินของพวกเอลฟ์คือ Elbereth Gilthoniel ซึ่งมีความหมายว่า "ราชินีแห่งดวงดาว" หรือ "ผู้จุดประกายดวงดาว" ครับ

ในโลกของ NetHack ผู้พัฒนาเกมได้นำชื่อนี้มาใช้เพราะความหมายดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์และการคุ้มครอง ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัวกับคุณสมบัติของคำว่า Elbereth ในเกมที่ใช้เป็นคาถาป้องกันตัวเองจากภัยอันตรายครับ

การเขียน Elbereth ที่ถูกต้อง
การเขียน Elbereth ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องใช้ตัวพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กอย่างไร แต่ถ้าขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ "E" และตามด้วยตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด จะเป็นการใช้ที่ให้ผลดีที่สุด เพราะมันจะทำให้ตัวละครได้รับค่า "wisdom" (ค่าสติปัญญา) เพิ่มขึ้นด้วย

กลยุทธ์การใช้งาน Elbereth เชิงรุก
การขูดเขียน Elbereth ไม่ใช่แค่เครื่องมือสุดท้ายเมื่อใกล้ตายเท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธวิธีเชิงรุกได้

สามารถขูดเขียน Elbereth ตามทางเดินหลัก, ใกล้บันได, หรือจุดคอขวดไว้ล่วงหน้าเพื่อสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" สำหรับล่าถอยได้

เมื่อถูกล้อมคุณสามารถขูดเขียน Elbereth บนพื้น เพื่อรอให้พลังชีวิตของคุณฟื้นตัวจนเต็มก่อน จากนั้นค่อยลบข้อความออกเพื่อกลับไปโจมตีมอนสเตอร์ต่อได้ กลยุทธ์นี้มีประโยชน์มากสำหรับการเก็บเลเวล

การขูดเขียน ElBereth จะมีโอกาส 1 ใน 32 ที่ข้อความจะเลือนเป็น Elbereth ที่ถูกต้องได้เอง ซึ่งอาจช่วยชีวิตในสถานการณ์ฉุกเฉินได้


อ้างอิง
https://nethackwiki.com/wiki/Elbereth

02 กันยายน 2568

Isochronic Tones - ดนตรีเพิ่มพลังสมอง

https://www.harmonance.com/resources/understanding-binaural-beats-vs-isochronic-tones-a-comprehensive-guide

บทความก่อนหน้าเคยนำเสนอเรื่อง Binaural beats - ดนตรีเพิ่มพลังสมอง เป็นการสอดแทรกความถี่ที่ต่างกันสองหูเพื่อชักนำให้เกิดความถี่เฉพาะขึ้นในคลื่นสมอง โดยการทำเช่นนี้มีเครื่องมือหลักที่ได้รับความนิยม 2 แบบ คือ Binaural Beats และ Isochronic Tones เป็นอีกเทคนิคที่ใช้เสียงเพื่อปรับเปลี่ยนคลื่นไฟฟ้าในสมองให้เข้าสู่สภาวะที่ต้องการ เช่น ผ่อนคลาย มีสมาธิ หรือหลับ ได้ด้วยเช่นกัน

Binaural Beats (ไบนอรอลบีทส์)
Binaural Beats เป็นเทคนิคที่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1839 โดยเล่นเสียงที่มีความถี่แตกต่างกันในหูแต่ละข้าง เช่น 400 Hz ในหูซ้าย และ 410 Hz ในหูขวา สมองจะรับรู้ความแตกต่างของสองความถี่นี้ ซึ่งก็คือ 10 Hz และสร้างคลื่นที่สามขึ้นมาเองในสมอง เสียงนี้ไม่ใช่เสียงจริงที่หูได้ยิน แต่เป็นคลื่นสมองที่สมองสร้างขึ้นมาเอง การทำงานของ Binaural Beats จึงจำเป็นต้องใช้หูฟังเท่านั้นเพื่อแยกเสียงในแต่ละข้าง



Isochronic Tones (ไอโซโครนิกโทน)
เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้จริงในปี 1981 โดยเป็นเสียงโทนเดี่ยวๆที่เปิดปิดอย่างรวดเร็ว เป็นเสียงที่เต้นเป็นจังหวะ (pulsing sound) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นสมองให้ปรับจังหวะการทำงานให้ตรงกับความถี่ของเสียงนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลให้สภาวะจิตใจเปลี่ยนไป เสียงนี้จะกระตุ้นสมองโดยตรงอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า Binaural Beats โดยสามารถเปิดได้จากลำโพงทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังเสมอไป นอกจากนี้ Isochronic Tones ยังถูกนำไปใช้ในเทคนิคขั้นสูงได้อีกด้วย เช่น การกระตุ้นสมองแต่ละซีกด้วยความถี่ที่แตกต่างกัน เป็นต้น

แนวทางการใช้งาน Isochronic Tones
  1. เลือกความถี่ที่เหมาะสมกับเป้าหมาย: แต่ละความถี่จะส่งผลต่อสภาวะจิตใจที่ต่างกัน เช่น:
    • ตื่นตัว ความสามารถด้านการแก้ไขปัญหา: ใช้คลื่นแกมม่า Gamma (40-50 Hz)
    • การจดจ่อ การขบคิด: ใช้คลื่นเบต้า Beta (12-20 Hz)
    • สมาธิ ใคร่ครวญ ความผ่อนคลาย ความคิดสร้างสรรค์: ใช้คลื่น อัลฟ่า Alpha (8-12 Hz)
    • ผ่อนคลายล้ำลึก ดำดิ่งสู่จิตใต้สำนึก จินตนาการ: ใช้คลื่นธีต้า Theta (4-8 Hz)
    • การนอนหลับลึก ฟื้นฟูร่างกาย: ใช้คลื่นเดลต้า Delta (0.5-4 Hz)
  2. เตรียมสภาพแวดล้อมให้พร้อม: ควรหาที่นั่งที่สบายและปราศจากสิ่งรบกวน และไม่ควรใช้ Isochronic Tones ขณะทำกิจกรรมที่ต้องการสมาธิสูง เช่น การขับรถ
  3. การเลือกอุปกรณ์: แม้จะไม่จำเป็นต้องใช้หูฟัง แต่มีการแนะนำว่าถ้าใช้หูฟังสเตอริโอจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้ไฟล์เสียงที่มีคุณภาพสูงและไม่มีการบีบอัด
  4. ลองผิดลองถูก: แต่ละคนจะตอบสนองต่อความถี่ต่างกัน ควรทดลองฟังในความถี่ที่หลากหลายเพื่อค้นหาสิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด
  5. ระยะเวลาในการฟัง: เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรฟังอย่างน้อย 10-25 นาทีต่อเซสชัน เนื่องจากสมองต้องใช้เวลาประมาณ 7 นาทีในการปรับจังหวะให้เข้ากับเสียง
  6. มีสมาธิกับเป้าหมาย: ในขณะที่ฟัง ให้จดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การอ่านหนังสือ หรือการทำสมาธิ เพื่อช่วยให้คลื่นสมองปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้ง Binaural Beats และ Isochronic Tones ก็ช่วยชักนำทำให้สมองเข้าสู่ความถี่เฉพาะสำหรับการทำงานของสมองได้เหมือนกัน แต่ Isochronic Tones จะมีข้อดีที่ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่งก็คือเปิดผ่านลำโพงได้ ไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังก็สามารถชักนำสมองเข้าสู่ความถี่ที่ต้องการได้ จึงสะดวกที่จะเปิดได้ทั้งหูฟังและลำโพง จึงนับว่าสะดวกมากมากสำหรับคนที่ไม่มีหูฟัง
ลองนำไปค้นหาและเปิดฟังกันดูนะครับ ใน Youtube มีมากมายด้วยคำค้นว่า Isochronic Tones + ชื่อความคลื่นถี่ เช่น isochronic tones beta เป็นต้น บางเพลงก็ผสมผสานความถี่บำบัดเข้าไปด้วยก็มี หรือจะเลือกฟังจากรายการหลักๆที่เราคัดสรรมาไว้ข้างล่างนี้เลยก็ได้ครับ รวบรวมมาครบทุกย่านแล้ว เลือกใช้ได้ตามต้องการเลยครับ






แถม
💡 เคล็ดลับการเลือกใช้ Isochronic Tones
  • ทำงาน หรืออ่านหนังสือ (สมาธิจดจ่อ): ควรเลือกใช้คลื่น แกมม่า (Gamma) (40-50 Hz) หรือ เบต้า (Beta Wave) ซึ่งมีความถี่อยู่ในช่วง 12-30 Hz เป็นหลัก คลื่นนี้ช่วยเพิ่มความตื่นตัว ความจดจ่อ และสมาธิ เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องใช้ความคิด การแก้ปัญหา หรือการเรียนรู้
  • งีบกลางวัน หรือผ่อนคลาย (ชาร์จพลังงานช่วงสั้น): ลองใช้คลื่น ทีต้า (Theta Wave) ที่ความถี่ 4-8 Hz คลื่นนี้ช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย และเข้าสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ซึ่งเหมาะสำหรับการงีบหลับสั้นๆ (power nap) ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและสมองโดยไม่ทำให้รู้สึกงัวเงียเมื่อตื่นขึ้นมา
  • นั่งสมาธิ หรือทำสมาธิแบบลึก: คลื่น ธีต้า (Theta Wave) และ อัลฟ่า (Alpha Wave) (8-12 Hz) เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยม คลื่นอัลฟ่าช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย และอยู่ในสภาวะที่พร้อมสำหรับการทำสมาธิ ส่วนคลื่นทีต้าช่วยให้เข้าถึงสมาธิระดับลึกได้ง่ายขึ้น
  • พักผ่อน หรือทำกิจกรรมสบายๆ: คลื่น อัลฟ่า (Alpha Wave) ที่ความถี่ 8-12 Hz เหมาะสำหรับช่วงเวลาพักผ่อนสบายๆ เช่น การพักสมองจากการทำงานหนัก การทำกิจกรรมที่ต้องการความผ่อนคลาย หรือการทำสมาธิแบบตื้นๆ
  • นอนหลับลึก: ควรใช้คลื่น เดลต้า (Delta Wave) ที่ความถี่ต่ำสุดคือ 0.5-4 Hz ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับลึกที่สุดและช่วยในการฟื้นฟูร่างกายและซ่อมแซมเซลล์
หากเปรียบเทียบกับปรัชญาจีน คลื่นสมองแต่ละชนิดเปรียบได้กับหยินหยาง โดยคลื่นแกมม่า และ เบต้าเปรียบได้กับพลังหยางที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจตื่นตัว พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวและทำงานหนัก ส่วนคลื่นอัลฟ่า ธีต้า และ เดลต้า เปรียบได้กับพลังหยินที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ นิ่ง และเข้าสู่สภาวะพักผ่อน
การใช้ Isochronic Tones จึงเป็นการ ปรับสมดุลระหว่างหยินและหยาง ในสมองเพื่อให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมกับแต่ละกิจกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการนั่นเองครับ

ชุดรวม Pure Isochronic Tones เป็นแบบความถี่เปล่าๆดิบๆที่ไม่มีเสียงดนตรีประกอบ เหมาะสำหรับคนที่ชอบแบบสงบๆไม่เอาเพลงประกอบ หรือสำหรับเอาไว้เปิดเป็นฉากหลังประกอบกับเพลงที่ชอบเองได้ ไม่ต้องเปิดให้ดังจนเกินไป เพียงแค่เปิดเบาที่สุดเท่าที่จะได้ยินจังหวะ หรือค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นในระดับที่รู้สึกสบายๆก็พอ สำคัญคือเปิดในระดับที่ฟังสบายๆ เพราะหาเปิดดังเกินไปจะเกิดความเครียดและอันตรายต่อหูแทนซึ่งไม่ใช่เป้าหมายที่ต้องการ