Sponsor

29 มีนาคม 2568

ตระหนักรู้และเตรียมพร้อม - ทำไมควรมีชุดของใช้ฉุกเฉินประจำวัน (EDC)

Every Day Carry Four (EDC 4)

ในชีวิตประจำวัน เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย ภัยธรรมชาติ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องหลบหนี การมี ชุดของใช้ฉุกเฉินประจำวัน (Everyday Carry; EDC) ติดตัวไว้เสมอจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับคุณและคนรอบข้าง

EDC คืออะไร?
EDC (Everyday Carry) คือ ของใช้จำเป็นที่พกพาติดตัวเป็นประจำทุกวัน นอกเหนือจากสิ่งของประจำวันทั่วไป (กระเป๋าสตางค์, บัตรประจำตัว, กุญแจบ้าน/รถ, นาฬิกาข้อมือ, แว่นกันแดด, ฯลฯ) เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ของเหล่านี้ควรมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา แต่มีประโยชน์สูง ไม่ว่าจะพกไว้ในกระสตางค์ กระเป๋าทำงาน หรือกระเป๋าเหน็บเข็มขัดก็ได้

ทำไมต้องมี EDC?
  1. ช่วยชีวิตในสถานการณ์คับขัน – เช่น อุบัติเหตุ ก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ หรือต้องหลบหนีออกจากอาคาร
  2. เพิ่มความมั่นใจ – เมื่อรู้ว่ามีอุปกรณ์ช่วยเหลือติดตัวไว้เสมอ
  3. ช่วยเหลือผู้อื่น – บางครั้งคุณอาจเป็นคนแรกที่สามารถให้ความช่วยเหลือคนรอบข้างได้
ของแนะนำเป็นทางเลือกในชุด EDC
  1. อุปกรณ์ฉุกเฉิน
  2. อุปกรณ์ปฐมพยาบาล
    • พลาสเตอร์ปิดแผล
    • ยาหอม ยาดม
    • ยาฆ่าเชื้อ
    • ยาแก้ปวด
    • ยาประจำตัว
  3. อุปกรณ์สื่อสาร
    • โทรศัพท์มือถือ + Power Bank
    • เบอร์โทรติดต่อฉุกเฉินแบบจดไว้ในกระดาษ (เบอร์ญาติ, เบอร์การแพทย์ฉุกเฉิน 1669)
    • สมุดฉีกขนาดพกพา (สำหรับจด หรือเขียนโน้ตเพื่อส่งสาร)
    • ปากกา
  4. ของใช้ส่วนตัวและอื่นๆ
    • เงินสดเล็กน้อย (สำหรับกรณีฉุกเฉิน)
    • กระดาษทิชชู
    • อาหารฉุกเฉิน MRE
    • ขวดน้ำดื่มขนาดเล็ก
    • ที่พึ่งทางใจ (เครื่องราง, ภาพครอบครัว)
    • เศษผ้า เข็ม และด้าย
    • อุปกรณ์จุดไฟ (ไม้ขีด, ไฟแช็ก, แท่งจุดไฟ)
สรุป
การเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม EDC ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่คือเครื่องมือที่อาจช่วยชีวิตคุณและคนที่คุณรักได้ ลองเริ่มจากของชิ้นเล็กๆ ที่จำเป็นที่สุด (แนะนำมีดพับสวิสเป็นอันดับแรก) แล้วค่อยๆ เพิ่มเติมตามความเหมาะสม

อย่ารอให้เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น… เตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า!

คุณมี EDC อะไรติดตัวบ้าง? แชร์ไอเดียดีๆ ให้กันได้ในคอมเมนต์นะครับ!

หากบทความนี้มีประโยชน์ อย่าลืมแบ่งปันให้คนรอบตัวเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กันนะครับ😊

ผู้ที่เตรียมสิ่งของไว้ยามฉุกเฉินไม่ใช่คนโง่
แต่เป็นผู้ที่ตระหนักในความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแม้ว่ามันจะไม่เกิดก็ตาม
เพราะความไม่พร้อมจ่ายแพงกว่าเสมอ



แถม


17 กุมภาพันธ์ 2568

เกมสือปาจื้อ (十八仔) - เกมที่หานซิ่นใช้สร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพและดูธาตุแท้ของคน

https://www.peakpx.com/516242/4-red-dices

เกมสือปาจื้อ (十八仔) หรือ เกมสิบแปดแต้ม เป็นเกมทอยลูกเต๋า ว่ากันว่าถูกคิดค้นขึ้นโดย หานซิ่น (韓信) แม่ทัพใหญ่ผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น และเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ไร้พ่ายในสงครามฉู่ฮั่น (ว่ากันว่าท่านคิดค้นหมากรุกจีนขึ้นมาด้วย) เพื่อให้ทหารเล่นในยามว่างจากการศึก(โดยมีหานซิ่นเป็นเจ้ามือ) แก่นแท้ในการเล่นสือปาจื้อของหานซิ่นไม่ใช่การเสี่ยงดวง แต่เป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการรบและดูนิสัยคน
สร้างขวัญกำลังใจในการรบด้วยการเสี่ยงทายก่อนออกรบ ว่าจะแพ้หรือชนะ ซึ่งหานซิ่นเสี่ยงทายได้ชนะเสมอ ทำให้ทหารมีกำลังใจในการสู้รบ และก็รบชนะทุกครั้งตรงตามการเสี่ยงทายเช่นกัน
ดูนิสัยคนก็ด้วยการเสี่ยงทาย เพื่อดูสีหน้าท่าทางของผู้เล่นว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อจวนเจียนจะแพ้หรือชนะ เพื่อดูอุปนิสัยและรู้จักธาตุแท้ของคนเหล่านั้นเพื่อเก็บสถิติ จะได้ใช้คนและใช้กลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม
ภายหลังหานซิ่นจึงถูกยกย่องให้เป็นเทพแห่งการพนัน(ที่ไม่ใช่การเสี่ยงดวง แต่คือการเก็บสถิติมาอย่างดีแล้ว ว่าแพ้ได้กี่เปอร์เซ็นและต้องชนะกี่เปอร์เซ็น ที่เมื่อรวมกันแล้วก็คือชนะ) เป็นเทพแห่งโชคลาภที่น้อยคนจะรู้จัก ท่านเป็นหนึ่งในทีม 八路財神 เทพเจ้าแห่งทรัพย์สินแปดทิศทาง

วิธีเล่นเกมสือปาจื้อที่นิยมทั่วไป คือ ใช้ลูกเต๋า 4 ลูก ผู้เล่นจะผลัดกันทอยลูกเต๋าและส่งเสียงเชียร์หรือพูดจาให้ฮึกเหิม เช่น "แต้มสูง!" หรือ "แต้มต่ำ!" เพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน

อุปกรณ์การเล่น
  • ลูกเต๋าหกหน้า 4 หรือ 6 ลูก (นิยมที่ 4 ลูก)
  • ถ้วยทอยเต๋า

กฎทั่วไป
  • ผู้เล่นประกอบด้วย เจ้ามือ 1 คน และลูกมือ 1 คนขึ้นไป
  • ก่อนเล่นแต่ละตา ลูกมือแต่ละคนวางเดิมพันตามต้องการ เจ้ามือสามารถอั้นเดิมพันได้ คือการกำหนดเดิมพันสูงสุดที่เจ้ามือรับได้
  • วิธีการชนะคือต้องมีแต้มสูงกว่าแต้มของเจ้ามือจะได้รับเดิมพันจากเจ้ามือ; ถ้ามีแต้มต่ำกว่าถือว่าแพ้จะเสียเดิมพันให้กับเจ้ามือ; ถ้ามีแต้มเท่ากันถือว่าเสมอจะไม่ได้ไม่เสีย
  • จากนั้นทอยเต๋าลงในถ้วย โดยเริ่มจากเจ้ามือ
  • วิธีนับแต้ม คือ นำลูกเต๋าที่มีแต้มเท่ากัน 2 ลูกออกไป จากนั้นนำแต้มของลูกเต๋าที่เหลืออีก 2 ลูกมารวมกัน [ถ้าเล่น 6 เต๋า ก็นำลูกเต๋าที่แต้มเท่ากัน 3 ลูกออกไป]
  • หากมีลูกเต๋าที่มีแต้มเท่ากัน 2 คู่ ให้เอาคู่ที่มีแต้มสูงสุดมาคำนวณ [ถ้าเล่น 6 เต๋า ให้เอาลูกเต๋าตองที่สูงสุดมาคำนวณ]
  • หากมีลูกเต๋า 3 ลูกที่มีแต้มเท่ากัน และอีก 1 ลูกมีแต้มต่างกัน จะต้องทอยใหม่
  • แต้มสูงสุดคือ 12 แต้ม เรียกว่า "十八" (สือปา) [ซึ่งแปลว่า 18 ...ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ถ้าเล่น 6 เต๋า แต้มสูงสุดคือ 18 แต้ม]
  • แต้มต่ำสุดคือ 3 แต้ม เรียกว่า "扁膣" (เปี่ยนจื้อ) [ถ้าเล่น 6 เต๋า แต้มต่ำสุดคือ 6 แต้ม] ซึ่งเป็นคำหยาบที่ใช้แสดงความไม่พอใจเมื่อเล่นพนันแพ้ [แต้มเท่ากีมด! อะไรทำนองนั้นมั้ง]
  • หากลูกเต๋าทั้งหมดมีแต้มเหมือนกัน จะเรียกว่า "一色" (อิเส่อ; หนึ่งสี) ถือว่าชนะโดยไม่คำนึงถึงแต้ม
  • หากลูกเต๋าทั้งหมดมีแต้มต่างกัน จะเรียกว่า "無面" (อู๋เมี่ยน; ไร้หน้าเหมือน) หรือ "無點" (อู๋เตี่ยน; ไม่มีแต้ม) ต้องทอยใหม่จนกว่าจะมีแต้ม

กฎพิเศษ
  • บางเกมกำหนดว่าหากลูกเต๋า 3 ลูกมีแต้มเท่ากันและอีก 1 ลูกมีแต้มต่างกัน สามารถนำมาคำนวณได้ [นำลูกเต๋าที่มีแต้มเท่ากัน 2 ลูกออกไป จากนั้นนำแต้มของลูกเต๋าที่เหลืออีก 2 ลูกมารวมกัน]
  • บางเกมกำหนดว่าหากลูกมือทอยได้ "十八" (สือปา) หรือ "一色" (อิเมี่ยน) เจ้ามือต้องจ่ายเงินเดิมพันเป็นสองเท่า
  • บางเกมกำหนดว่าหากเจ้ามือทอยได้ 十八" (สือปา) หรือ "一色" (อิเมี่ยน) จะถือว่า "通吃" (ทงชือ) คือเจ้ามือกินรอบวงทันที และจบตานั้นไปเลย
  • บางเกมกำหนดว่าหากเจ้ามือทอยได้ "扁膣" (เปี่ยนจื้อ) จะถือว่า "通賠" (ทงเผ๋ย) คือเจ้ามือต้องจ่ายรอบวงทันที และจบตานั้นไปเลย

*คำเตือน* บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและความบันเทิงเท่านั้น ไม่สนับสนุนให้เล่นการพนันในรูปแบบใดๆ ผู้เล่นควรใช้วิจารณญาณในการเล่น และเล่นอย่างมีความรับผิดชอบ

🛒พิชัยสงครามหานซิ่น https://cutt.ly/UTMzyMy
🛒ลูกเต๋าอะครีลิค https://s.shopee.co.th/5AdiOkhO2T

08 กุมภาพันธ์ 2568

ท่าออกกำลังกายเลียนแบบสัตว์ 5 ชนิด (五禽戲)


อู่ฉินซี่ (五禽戲) ท่าออกกำลังกายเลียนแบบสัตว์ 5 ชนิด เป็นท่ากายบริหารแบบดั้งเดิมของจีน ว่ากันว่าคิดค้นโดยหมอฮู๋โต๋ (หมอเทวดาในสามก๊ก) แต่ละท่าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็มสำคัญต่างๆ เพื่อทำให้ลมปราณไหลเวียนได้อย่างสมดุลแข็งแรงทั้งห้าธาตุ ท่วงท่าเหล่านี้ได้ถูกปรับปรุงเพิ่มเติมประยุกต์ตามแต่ละสำนึกผ่านยุคสมัยจึงแตกต่างกันไป และยังคงได้รับความนิยมในการฝึกเป็นท่ากายบริหารอยู่ในปัจจุบันเคียงคู่กับเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นและท่ากายบริหารปาต้วนจิ่น
จึงนำมาแนะนำเพื่อเพื่อนๆท่านใดสนใจจะนำไปเป็นท่าบริหารร่างกายสนุกๆ หากท่านใดสนใจดูคลิปสาธิตท่ารำกายบริหารชุดนี้สามารถให้เลื่อนข้ามลงไปดูที่คลิปสาธิตข้างล่างได้เลยครับ ส่วนท่านใดอยากทรายว่าในคัมภีร์บรรยายอะไรไว้บ้าง ซึ่งผมได้แปลเอาไว้แล้ว (หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) ก็ลองอ่านตามลำดับต่อไปได้เลยครับ โดยเนื้อหามาจากส่วนหนึ่งของตำราว่านโส่วตันซู (萬壽丹書 ตำราชาดแดงแห่งอายุวัฒนะ)

附發汗愈病五形圖
此禽獸形圖,乃漢神醫華陀所授,凡人身體不安,作此五形圖之戲,汗出疾即愈矣。
閉氣低頭撚拳,戰如虎威勢,兩手如提千金,輕輕起來,莫放氣,平身吞氣入腹,使神氣上而復下,覺腹內如雷鳴,或七次,如此運動,一身氣脈調和,百病不生。
如熊側身起,左右擺腳,要後立定,使氣兩旁脅骨節皆響,亦能動腰力除腫,或三五次止,能舒筋骨而安,此乃養血之術也。
閉氣低頭撚拳,如鹿轉頭顧尾,平身縮肩立腳尖,跳跌跟連天柱,通身皆振動,或三次。每日一次也可,如下床做作一次更妙。
閉氣如猿爬樹,一隻手如撚果,一隻腳如上擡起,一隻腳跟轉身,更運神氣吞入,腹內覺有汗出方可罷。
閉氣如鳥飛頭起,吸尾閭氣朝頂,虛隻手躬前,頭要仰起,迎神破頂。

ห้าท่าขับเหงื่อเยียวยาโรคภัย

ภาพท่าเลียนแบบสัตว์นี้, ท่ายทอดโดยหมอฮัวโต๋หมอเทวดาสมัยราชวงศ์ฮั่น, อันร่างกายมนุษย์เมื่อไม่สบายนั้น, ทำกายบริหารตามท่าห้ารูปนี้, พอเหงื่อออกโรคภัยก็จะเยียวยา.

[ท่าพยัคฆ์]

[หายใจเข้าแล้ว]กลั้นลมก้มศีรษะกำมือ, สั่นสะท้านดุจแสนยานุภาพพยัคฆ์, มือทั้งสองดั่งยกทองพันชั่ง, แล้วยกขึ้นมาอย่างนุ่มนวล, อย่าปล่อยลมหายใจ, ยืนตัวตรงกลืนลมเข้าท้อง, ทำให้เสินชี่ขึ้นแล้วกลับลงมา, รู้สึกในท้องดุจเสียงฟ้าร้อง, ทำซ้ำเจ็ดครั้ง, การเคลื่อนไหวเช่นนี้, ช่วยปรับสมดุลเส้นลมปราณในร่างกาย, ร้อยโรคไม่เกิด.

[ท่าหมี]
[ทำท่า]ดั่งหมีเอี้ยวตัวขึ้น, แกว่งอุ้มตีนหมีซ้ายขวา, ต้องยืนให้มั่นคงด้วยเอ็นร้อยหวาย, [หายใจ]ให้ชี่ไหลผ่านกระดูกซี่โครงทั้งสองข้างจนเกิดเสียงก้อง, ก็สามารถเคลื่อนไหวพลังรอบเอวขจัดการบวม, ทำซ้ำสามถึงห้าครั้งจบ, สามารถคลายเส้นเอ็นแลกระดูกให้สบาย, นี่ก็เป็นวิธีบำรุงเลือดด้วย.

[ท่ากวาง]

[หายใจเข้าแล้ว]กลั้นลมก้มศีรษะกำมือ, [ทำท่า]ดุจกวางเหลียวหลังมองหาง, ยืนตัวตรงห่อไหล่ยืนด้วยปลายเท้า, แล้วกระโจนเหยาะย่าง[ด้วยปลายเท้าโดย]ส้นเท้าเชื่อมต่อเสาค้ำฟ้า[จากส้นถึงคอ], ทั้งตัวล้วนสั่นสะเทือน, ทำซ้ำสามครั้ง. วันละหนึ่งรอบก็ได้, หากทำทันทีหนึ่งครั้งหลังลุกจากเตียงจะวิเศษยิ่ง.

[ท่าวานร]

[หายใจเข้าแล้ว]กลั้นลม[แล้วทำท่า]ดุจวานรปีนต้นไม้, มือข้างหนึ่งดั่งกำผลไม้, เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นบน, เท้าข้างหนึ่งส้นเท้าเป็นจุดหมุน, จากนั้นกลืนเสินชี่เข้า, ในท้องรู้สึกมีเหงื่อออกจึงหยุดได้.

[ท่านกกระเรียน]

[หายใจเข้าแล้ว]กลั้นลม[แล้วทำท่า]ดุจนกบินยกหัวขึ้น, ดูดชี่จากก้นกบขึ้นสู่กระหม่อม, มือยกขึ้นฟ้างอไปข้างหน้า, ศีรษะต้องเงยขึ้น, รับเสินทะลวงกระหม่อม.




คลิปสาธิตท่าออกกำลังกายเลียนแบบสัตว์ 5 ชนิด ลองฝึกตามกันได้เลยครับ


ขอขอบคุณเจ้าของคลิปมา ณ  ที่นี้ด้วยครับ

ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยครับ

อ้างอิง
https://jicheng.tw/tcm/book/%E7%A6%8F%E5%A3%BD%E4%B8%B9%E6%9B%B8/index.html
http://www.shen-nong.com/chi/lifestyles/tcmrole_health_maintenance_5animal.html
https://zh.wikipedia.org/zh-tw/%E4%BA%94%E7%A6%BD%E6%88%8F
https://commons.wikimedia.org/w/index.php?search=Play+of+the+five+creatures&title=Special:MediaSearch&go=Go&type=image

16 มกราคม 2568

ท่ารำมวยของกองทัพจีน - ฝึกการป้องกันตัวด้วยตนเองที่บ้าน

Image by Mohamed Hassan from Pixabay

สวัสดีครับทุกท่าน เมื่อคนเราต้องปกป้องตัวเอง คนที่เรารัก และทรัพย์สิน การมีความรู้ หรือเคยฝึกพื้นฐานเอาไว้ย่อมเป็นสิ่งที่ช่วยได้บ้างหากจำเป็นต้องใช้ บทความนี้จะมาแนะนำการฝึกศิลปะการป้องกันตัวที่สามารถฝึกเองได้ที่บ้านผ่านคลิปวิดิโอ ท่ารำมวยของกองทัพจีน เป็นท่วงท่าที่ไม่ซับซ้อนมากนักและนำไปปรับใช้ได้อย่างตรงไปตรงมา ตามแนวคิดของกองทัพส่วนใหญ่ที่มักเน้นฝึกได้รวดเร็วและใช้งานได้ทันที ซึ่งท่ารำมวยของกองทัพจีนนี้น่าจะตรงตามแนวคิดนั้นพอดี (ชุดรำมวยนี้น่าจะเป็นท่ารำมวยเก่าชุดหนึ่งของกองทัพจีน คิดว่าอาจเป็นการนำวิชามวยจีนบางสำนักมาย่อให้สั้นเพื่อฝึกทหาร แต่ไม่ทราบว่ามวยอะไร วอนผู้รู้ช่วยแถลงไขในคอมเม้นต์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ) จึงอยากมาแนะนำให้สำหรับผู้ที่สนใจให้ลองนำไปฝึกฝนด้วยตนเองดูครับ ไม่ยาวมากและค่อนข้างครบเครื่องพอสมควร ไม่ว่าจะเพื่อออกกำลังกายหรือฝึกไว้ป้องกันด้วยก็ตาม ฝึกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใช้พื้นที่น้อย มีทั้งหมด 16 ท่า พร้อมทั้งสาธิตการนำไปใช้จริงบางส่วน งั้นก็ไปเริ่มกันเลยครับ

ท่าที่ 1-8


ท่าที่ 9-16


ขอขอบคุณเจ้าของคลิปสำหรับวิทยาทานอันทรงคุณค่ามา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

สรุปท่ารำมวยของกองทัพจีน
ท่าเตรียม ยืนตรงหน้ามองตรง แบมือไปข้างหน้า และส้นเท้าชิด จากนั้นกำหมดหันหลังมือไปข้างหน้า เท้าชิด และหันหน้า
  1. ปัดป้อง ป้องกันด้านบนและชก
  2. ฟัดและเตะ ชก
  3. ไขว้แขนป้องกันด้านบน จับดึงและเตะ
  4. ทุบ ชกหมัดเหวี่ยงและเข่า
  5. ป้องกัน ถีบออกข้าง
  6. จับ ดึง เตะตัด
  7. ป้องกันด้านบน จับขา
  8. จับ พลิกโยน
  9. ปัดป้อง ชกเสย
  10. คว้าจับ เกี่ยวลง
  11. เตะและคว้าจับข้อมือ
  12. เตะ จับล็อค
  13. ปัดป้อง ชก
  14. คว้าจับ ล็อคข้อมือ
  15. คว้าจับแขน กดคอ
  16. ล็อคแขน กดแขน
กลับมายืนตรงเป็นท่าจบ

หลังจากฝึกรำมวยได้ครบชุดแล้ว แนะนำให้ฝึกกลับด้านด้วยนะครับ คือ เมื่อฝึกด้านขวาแล้วก็ควรฝึกด้านซ้ายด้วย จะได้ถนัดทั้งสองด้าน

ทำไมต้องรำมวย?
ในการฝึกการต่อสู้ป้องกันตัวนั้นแค่ฝึกท่าชกเตะต่อยให้คล่องๆโดยไม่ต้องรำมวยก็ได้ครับ หากฝึกจนชำนาญเป็นระเบียบแล้วก็ย่อมมีทักษะอย่างแน่อน ซึ่งยังไงก็เป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าจะรำมวยหรือไม่รำมวย ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมต้องรำมวยด้วยล่ะ?

ท่ารำมวยเป็นท่วงท่าที่ได้รับการกลั่นเนื้อหาสาระมาอย่างครบถ้วนแล้วของกระบวนวิชานั้นๆ จึงได้มาเป็นท่ารำให้ได้เราฝึกฝน ก็เพื่อเป็นการท่องจำแนวคิดหลัก ในไทยเรียกเรียกชุดท่ารำของมวยจีนว่า มวยเส้น คือ ท่ารำที่เป็นเส้นร้อยเรียงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบตามลำดับซึ่งทำไว้ดีแล้ว (ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า กาตะ (Kata); ภาษาอังกฤษเรียกว่า Form หรือ Kung fu form)
ท่ารำมวยเปรียบเสมือนคัมภีร์ของวิชานั้น การรำมวยเปรียบเสมือนการท่องหรือคัดคัมภีร์เพื่อทบทวนเนื้อหา จึงเป็นส่วนเริ่มต้นที่สำคัญในการเรียนศิลปะการป้องกันตัวของจีน (กังฟู จริงๆคำว่ากังฟู แปลว่า ทักษะที่ได้จากการฝึกฝน แต่ในไทยเราใช้เรียกมวยจีน) เพราะเมื่อเราจำเนื้อหาในคัมภีร์ได้ก็สามารถหยิบทีละกระบวนท่ามาเพื่อฝึก ผสมผสาน สลับลำดับ หรือประยุกต์ต่อยอดเองสำหรับฝึกเป็นท่าใช้จริงต่อไปได้ ซึ่งท่าทั้งหมดก็หยิบมาจากท่ารำนั่นเอง หรือแม้ไม่ได้หยิบมาแยกฝึกก็ตาม การรำมวยเส้นก็เป็นการทบทวนทุกกระบวนท่าและจัดโครงสร้างที่ถูกต้องไปพร้อมๆกับการยืดเส้นยืดสาย อย่างน้อยก็เป็นการออกกำลังกายที่ได้วิชาติดไม้ติดมือบ้างไม่มากก็น้อย และสามารถส่งต่อวิชาได้โดยไม่ลืมท่วงท่าใด เพราะแก่นของท่วงท่าร้อยเรียงอยู่ในมวยเส้นหมดแล้วนั่นเอง ที่เหลือก็อยู่ที่ผู้รำว่าจะเข้าถึงความหมายของแต่ละท่วงท่าหรือไม่เท่านั้นเอง ซึ่งก็ต้องได้รับการอธิบายโดยผู้สอนว่าแต่ละท่านั้นมีแนวคิดอย่างไร หากรู้พื้นฐานทางปรัชญาตรงนี้แล้วก็สามารถนำไปพลิกแพลงต่อยอดได้หลากหลายไม่จบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าใหม่หรือนำไปประยุกต์ใช้กับอาวุธต่างๆ ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน (บางมวยเริ่มจากมือเปล่าแล้วประยุกต์ใช้กับอาวุธ บางมวยเริ่มจากอาวุธแล้วประยุกต์ใช้กับมือเปล่า)

ในการเรียนมวยจีนที่เป็นวิชาขึ้นชื่อทั่วไปนั้น มักจะมีท่ารำที่มีลายละเอียดซับซ้อน ดังนั้น ควรจะไปเรียนโดยมีครูผู้สอนแนะนำจะดีที่สุด เพราะจะมีรายละเอียดเรื่องการวางมือวางเท้า โครงสร้าง การก้าวเท้า การหายใจ การส่งแรง การลงน้ำหนักเท้า สมดุลการยืน ฯลฯ ซึ่งละเอียดเกินกว่าท่วงท่าที่เห็น ดูแค่คลิปแล้วทำตามอย่างเดียวไม่เพียงพอ คลิปเหมือนมีไว้ทบทวนสำหรับผู้ที่เคยเรียนมาแล้วมากกว่าครับ

ในท่ารำมวยของกองทัพจีนนี้แม้จะไม่ซับซ้อนมากและเห็นว่าพอที่จะฝึกเองผ่านคลิปได้ก็ตาม (เอาจริงๆก็แอบซับซ้อนอยู่นะ) แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าการวางและก้าวเท้าจะมีหลายแบบ อาจเป็นการลงน้ำหนัก 50% หรือขาใดขาหนึ่ง 70% ก็แล้วแต่ท่วงท่า ลองสังเกตและหาสมดุลที่เหมาะสมกับกระบวนท่านั้นๆดูครับ โดยทั่วไปจะลงน้ำหนักถ่ายเทไปมาอยู่ราวๆนี้ครับ

คุณธรรมที่ผู้ฝึกมวยควรมี
ผู้ที่ฝึกการต่อสู้บางครั้งย่อมมีบ้างที่อาจจะร้อนวิชา เหล่าบูรพาจารย์จึงต้องถ่วงดุลด้วยหลักการ ซึ่งได้กล่าวสั่งสอนให้ผู้ฝึกมวยจีนทุกคนถือคุณธรรม 10 ประการ
คุณธรรมภายนอก คือ ถ่อมตน, จริงใจ, มารยาท, มโนสำนึก, สัจจะ (謙誠禮義信) และ คุณธรรมภายใน คือ กล้าหาญ, อดทน, อดกลั้น, พากเพียร, มุ่งมั่น (勇忍恆毅志)
ฝึกมวยเพื่อส่งเสริมสุขภาพกายใจ หลีกเลี่ยงการต่อสู้และรักษาสันติจนถึงที่สุด หากมิอาจเลี่ยงแล้วจึงจะใช้การต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองและคนที่เรารักให้รอดพ้นอันตราย (มีไว้แต่ไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แต่ไม่มี) มิใช่เพื่อจะเอาชนะคะคานระรานกลั่นแกล้งผู้อื่น การฝึกมวยต้องบ่มเพาะคุณธรรมทั้งกายและใจไปพร้อมกัน หากไร้คุณธรรมก็เป็นแค่คนพาล

มีแล้วไม่ได้ใช้
ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี

ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง
มีความสุข และปลอดภัยตลอดปีนะครับ


แถม


ท่ารำมวยหมัดตั๊กแตนเส้นสั้น

BJJ พื้นฐาน สำหรับการป้องกันตัวในท่านอน




อ้างอิง