Sponsor

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ history แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ history แสดงบทความทั้งหมด

07 มิถุนายน 2555

A Brief history of sound recording - ประวัติย่นย่อของสื่อบันทึกเสียง

 คลิกที่รูปเพื่อดูภาพใหญ่


A Brief history of sound recording - ประวัติย่นย่อของสื่อบันทึกเสียง

1857 - Phonautogram
เป็นสื่อบันทึกเสียงครั้งแรกในยุคประวัติศาสตร์ โดยการตอกเสียงที่สะเทือนลงบนแผ่นดีบุกที่หุ้มโลหะทรงกระบอกโดยใช้มือหมุน สามารถฟังซ้ำได้แค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น

1877 - Phonograph cylinder
ในภาษาไทยเรียกว่ากระบอกเสียง ประดิษฐ์โดย Thomas Edison เป็นกระบอกที่เคลือบด้วยขี้ผึ้ง รุ่นนี้เครื่องจะเป็นแบบไขลาย ได้เข้ามาเป็นเครื่องบรรณาการในสยามในยุคที่เริ่มผลิตเป็นการค้าเมื่อปี 1888 หรือ พ.ศ.2431 สมัย ร.5
แต่สยามเป็นเขตร้อนชื้นทำให้ขี้ผึงขึ้นราและแตกเสียหาย จึงต้องรอถึงยุค Gramophone record หรือแผ่นเสียง การฟังสื่อบันทึกจึงเป็นที่นิยมในประเทศสยามจนถึงไทยตั้งแต่นั้นมา

มาลองฟังเพลงสรรเสริญพระบารมีเก่าสุดในโลก บรรเลงด้วยกระบอกเสียงแบบดั้งเดิมกันครับ

04 ตุลาคม 2553

Harmonica History - ประวัติฮาร์โมนิก้า


ครั้งนี้เรามาพักการซ้อม Harmonica กันซักบทความนึงดีกว่า แล้วมาประดับความรู้เกี่ยวกับประวัติของ Harmonica ที่หลายๆคนถามถึงกันหน่อย จะได้รู้ความเป็นมาต่างๆของเครื่องดนตรีที่เรารักและเล่นอยู่เป็นประจำกันครับผม Harmonica หรือรู้จักกันในชื่ออื่นๆ เช่น Blues Harp, Mississippi saxophone, Mouth Organ หรือภาษาไทยเรียกว่า หีบเพลงปาก ฮาร์โมนิกาจัดอยู่ในประเภทเครื่อง Wood Wind หรือเครื่องลมไม้ เล่นด้วยวิธีการ เป่าและดูด สมัยโบราณเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนที่ประเทศจีน มีการสร้างเครื่องดนตรีที่ใช้โลหะมาทำเป็นลิ้นเสียงใช้เป่าและดูดเพื่อให้เกิดเสียงดนตรีแบบเดียวกับฮาร์โมนิกาปัจจุบัน จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของฮาร์โมนิกาที่เก่าแก่ที่สุด

ประวัติฮาร์โมนิกาในปัจจุบันนั้นเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1821 หรือ พ.ศ.2364 โดยคริสเตียน ไฟรดริช บุสชมานน์ วัย 16 ปี เป็นผู้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ประดิษฐ์กรรมทางดนตรีของเขา ซึ่งเขาเรียกว่า ออร่า(Aura หรือ Aeolina? หรือ Mund-Aeoline?) บุชมานน์ อธิบายแก่พี่ชายของเขาว่า เครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีพิเศษ ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงแค่ 4 นิ้ว แต่ให้เสียงดนตรีได้ถึง 20 ตัวโน้ต จากนั้นเขาเริ่มออกแบบฮาร์โมนิกา และก็มีผู้นำไปปรับแต่งและพัฒนาออกมาอีกมากมาย นักประดิษฐ์เครื่องดนตรีชาวโบฮีเมียนนามว่า "ริชเตอร์" เป็นผู้ที่ทำการพัฒนาครั้งสำคัญที่สุดในการออกแบบฮาร์โมนิกายุคใหม่


ราวๆปี 1829 เขาได้พัฒนาความหลากหลายของเครื่องดนตรีชนิดนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย 10 ช่อง 20 ลิ้นเสียง และรูปแบบการเรียงโน้ตของฮาร์โมนิกา เรียกว่า Richter-Tuned หรือ การตั้งเสียงแบบริชเตอร์ เป็นมาตรฐานมาถึงปัจจุบัน ในปี 1857 ประวัติของฮาร์โมนิกาได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อช่างนาฬิกาชาวเยอรมัน แมตทิสซา ฮอห์เนอร์ หันเหสู่อุตสาหกรรมผลิตฮาร์โมนิกาชนิดเต็มรูปแบบซึ่งเขาคิดไม่ผิด เพราะในปีนั้นเพียงปีเดียวเขาสามารถผลิตเครื่องดนตรีออกมาถึง 650 ชิ้น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มีงานให้คนในท้องถิ่นทำ และก็พัฒนาสินค้าให้เป็นที่รู้จัก


ฮอห์เนอร์นำฮาร์โมนิกาเข้าสู่อเมริกาเหนือในปี 1862 ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้บริษัทของเขาขึ้นไปยืนอยู่ในสถานะผู้นำในการผลิตฮาร์โมนิกา ในปี 1887 ฮอห์เนอร์ผลิตฮาร์โมนิกามากกว่า 1ล้านชิ้น และทุกวันนี้เขาก็ได้ผลิตฮาร์โมนิกาที่แตกต่างกันออกมามากกว่า 90 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเลือกใช้กับแนวดนตรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวดนตรี Classic, Jazz, Blues, Pop, หรือ Rock ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตฮาร์โมนิก้าก็มีหลากหลายยี่ห้อ ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงก็ เช่น Hohner, Suzuki, Lee Oskar, Easttop, เป็นต้น

อ้างอิง
หนังสือพิมพ์มติชน
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

02 กุมภาพันธ์ 2552

ประวัติมวยหย่งชุน ฉบับสมบูรณ์

กว่า 250 ปีมาแล้วรัชสมัยของกษัตริย์ หยวนเซ็ง แห่งราชวงศ์ ชิง วัดเส้าหลินได้ถูกวางเพลิงโดยทหารมองโกล
การวางเพลิงครั้งนี้จึงส่งผลให้ 5 ปรมาจารย์ อาวุโสของ วัดเส้าหลินพร้อมลูกศิษย์ต้องฝ่าทหารมองโกล ลงทางใต้ของเมืองจีน ปรมาจารย์ทั้ง 5 ได้แก่ หลวงจีนจี้ส่าน, แม่ชีไบ๋เหมย, แม่ชีหวู่เหมย, หลวงจีนฟองโตตั๊ก, หลวงจีนเมียงหิ่น รวมทั้งศิษย์ ฆราวาส ได้แก่ หงซีกวน ฟางซื่อยี่, ลกอาซาม, ถงเชียนจิน, หวูเว่ยฉวน, ชายหมี่จิ้ว และอื่นๆ
ปรมาจารย์ จี้ส่าน สอนศิษย์ ฆราวาสมากมายและได้นำศิษย์หล่านี้ต่อต้านแมนจู ในบรรดาศิษย์เหล่านี้นำโดยศิษย์พี่ชื่อ หงซีกวน, ตงซินทุน, ฉอยอาฟุก พวกเขาปฏิบัติการในเรือแดง โดย จี้ส่านได้ปลอมตัวเป็น พ่อครัวของคณะงิ้วเรือแดง
ส่วนปรมาจารย์ แม่ชีหวู่เหมย ได้หนีความวุ่นวายทั้งปวงไปยัง วัดกระเรียนขาวบนเขาไท่ซาน ในขณะเดียวกันได้คิดค้นวิทยายุทธ์แขนงใหม่ ซึ่งแตกต่างและมีประสิทธิภาพดีกว่าวิชาที่ได้เรียนจากวัดเส้าหลิน วิชานี้ แม่ชีได้ พบจุดเริ่มต้น
โดยบังเอิญเมื่อเธอได้เห็น จิ้งจอกต่อสู้กับนกกระเรียน ซึ่งจิ้งจอกวิ่งวนไปรอบๆนกกระเรียนเป็นวงกลมหวังหาจังหวะจู่โจมนกกระเรียน แต่นกกระเรียนอยู่ในศูนย์กลางวงกลม หันหน้าเข้าหาจิ้งจอกตลอดเมื่อจิ้งจอกโจมตีนกกระเรียนก็ปัดและจิกโดยไม่วิ่ง ออกจากวงกลมอาศัยการป้องกันและโจมตีในเวลาเดียวกัน จากจุดนี้คือการค้นพบพื้นฐานของมวยชนิดใหม่

การต่อสู้ของมวยชนิดนี้คืออาศัยหลักการต่อสู้อันแยบยลตามหลักธรรมชาติของการหลบหลีก การเคลื่อนไหวด้วยการปะทะแบบสลายแรงอย่างรวดเร็วพร้อมโจมตีเป็นเส้นตรงในเวลาเดียวกัน ทั้งรุกและรับในจังหวะเดียวกัน โดยการใช้โครงสร้างและสรีระของร่างกายแทนกำลังของมือและเท้าในการทำลายคู่ ต่อสู้
ต่อมา แม่ชีหวู่เหมยได้รับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ เหยิ่นหย่งชุน ได้ถ่ายทอดวิชายุทธย์แขนงใหม่นี้ให้และฝึกฝนจนสามารถป้องกันตนเองได้แล้ว หย่งชุนจึงลงเขา ไท่ซ่านกลับไปหาบิดา จากนั้นหย่งชุนได้เอาวิชานี้สู้กับพวกอันธพาลที่มารังควานและรังแกประชาชนใน มลฑลนั้นจนชนะทั้งหมดจึงสร้างชื่อเสียงขึ้นมา
หลังจากนั้นหย่งชุนได้แต่งงานกับ เหลือง ปอกเชา และพยายามจะสอนวิชานี้ให้กับสามีแต่สามีไม่ยอมฝึกเพราะตัวสามีนั้นได้ฝึกฝน มวยเส้าหลินมาอย่างช่ำชองแล้วแต่หย่งชุนก็ได้แสดงฝีมือและได้เอาชนะสามีทุก ครั้ง สุดท้ายสามีจึงยอมเรียนวิชานี้กับภรรยา และจากจุดนี้จึงได้ตั้งชื่อมวยแขนงใหม่นี้ว่า หย่งชุน ตามชื่อภรรยา

ผู้หญิงทั้งๆมีรูปร่างเล็ก และบอบบางกว่าผู้ชายแต่แรงของผู้หญิงจะไปสู้กับแรงผู้ชายได้อย่างไรกัน มวยหย่งชุนเป็นมวยผู้หญิง หลักวิชาต่างๆที่ถูดคิดค้นขึ้นในวิชานี้ เน้นสำหรับผู้หญิง หย่งชุน ใช้สรีระที่ถูกต้องบวกกับความเข้าใจแรงที่แตกฉานและการฝึกฝนที่ถูกหลักวิชา มีทั้งอ่ออนและแข็ง (ไม่ใช่มวยอ่อนอย่างเดียว)และขอเน้นว่าไม่ได้เน้นกำลังภายในอะไรทำนองนั้น แต่ใช้ความเข้าใจทางสรีระและวิทยาศาสตร์

หว่องว่าโป๋ว และเหลียงหยี่ไท่
วิทยายุทธ์หย่งชุนคงจะไม่มีในวันนี้หากเหลี่ยงหล่านไกวไม่สอนใครเลย แต่ว่าเขาได้สอน หว่องว่าโป๋ว นักแสดงงิ้วแห่งคณะงิ้วเรือแดงเป็นการบังเอิญที่ปรมาจารย์ จี้ส่านก็ได้ปลอมตัวเป็นพ่อครัวในคณะงิ้วเช่นกัน จี้ส่านในเวลานั้นได้สอนลูกศิษย์อยู่จำนวนหนึ่ง เหลียงหยี่ไท นายคัดท้ายเรือคือหนึ่งนจำนวนศิษย์ซึ่งสนใจและได้รับการถ่ายทอดกระบองหกแต้ม ครึ่งหว่องว่าโป๋วและเหลี่ยงยี่ไท่ได้รู้จักชอบพอกันและแลกเปลี่ยนวิชากัน
หลังจากนั้นทั้งสองได้ดัดแปลงกระบองหกแต้มครึ่งโดยประยุกต์หลักการฟังด้วย การสัมผัสจากมวยหย่งชุนหรือชี้เสาและเรียกการฝึกฝนด้วยกระบองสัมผัสนี้ว่า ชี้กวัน
การชี้เสามีวิธีการฝึกโดยคู่ฝึกใช้แขนสัมผัสตลอดการฝึกฝนโดยต่างฝ่ายต่างฟังการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากการสัมผัสในขณะที่พยายามปิดป้องและโจมตีในเวลา เดียวกันโดยใช้แม่ไม้มวยหย่งชุนระหว่างการฝึกแขนทั้งสองฝ่ายต้องไม่หลุดสัมผัส หรือแยกจากกันเลย

เหลียงจั่น
เหลี่ยงยี่ไท่ได้สอนเหลียงจั่นศิษยืคนเดียวเมื่อเขาเกือบเขาสู่วัยชรา เหลียงจั่นเป็นหมอแผนโบราณชื่อดังแห่งฝอซาน แห่งมลฑลกวางตุ้ง เหลียงจั่นต่อมาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งมวยหมัดหยงชุน หรือ ราชามวยประลองเนื่องจากนักมวยทั่วสารทิศได้มาประลองกับเหลี่ยงจั่น แต่ทุกคนก็ได้แพ้ไปในที่สุดเหลี่ยงชุน และเหลี่ยงปิ๊ก รวมทั้งหมกหยั่นหว่า(หว่าหุ่นไม้) ผู้มีแขนทังสองอันแข็งแกร่ง ลูกศิษย์ที่สำคัญของเหลียงจั่นคือฉันหว่าซุนหรือผู้แลกเงินเจ๋าฉิ่นหว่าผู้ ซึ่งได้แอบฝึกมวยหย่งชุนโดยมองผ่านเข้ามาตามซอกประตู จนกระทั่งเหลียงจั่นจับได้หลังจากที่เหลี่ยงซุ่นและฉานหว่าซุ่นได้ทำเก้าอี้ ตัวโปรดหักระหว่างประลองกันและรับเป็นศิษย์ในที่สุด

ฉานหว่าซุนและศิษย์
ฉานหว่าซุนรับลูกศิษย์ทั้งหมดสิบหกคน มีศิษย์คนโตชื่อว่าหงึงชงโซว และศิษย์คนสุดท้ายคืออาจารย์ยิปมัน อาจารย์ยิปมันสะสมเงินเพื่อมาขอเป็นศิษย์อาจารย์ฉานหว่านซุนเมื่อเขาอายุ ได้ประมาณ 11 ปี อาจารย์ฉานหว่าซุนจึงรับยิปมันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายและสอนยิปมันเป็น เวลา 6 ปีก่อนจะเสียชีวิตหลังจากนั้นยิปมันฝึกฝนต่อภายใต้การชี้นำของศิษย์พี่ใหญ่ หงึงชงโซว ยิปมันได้เข้าศึกษาต่อที่ฮ่องกง ด้วยความคะนองได้ท้าประลองไปทั่วฮ่องกงและความหึกเฮิมมีมากขึ้นเมื่อเขาชนะเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบคนแก่คนหนึ่งซึ่งผู้คนรู้จักกันดีว่ามีความสามารถ ยิบมันแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับชายแก่คนนนั้นซึ่งแท้จริงแล้วชายแก่ผู้ นั้นคือ เหลียงปิ๊ก อาจารย์อาบุตรเหลียงจั่น หรือศิษย์น้องของฉานหว่าซุนนั้นเอง ยิปมันหลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงลาอาจารย์กลับเมืองจีน
ยิปมัน และ ศิษยหลังจากที่คอมมิวนิสต์เข้าปฎิวัติประเทศจีน ยิปมันจึงอพยบมาที่ฮ่องกงอีกครั้ง และจึงเริ่มรับลูกศิษย์ทั่วไปมากมายมี ฮอกกิ่นเชียง และอื่นๆ อาจารย์เหล่านี้ได้เผยแพร่มวยหย่งชุนจนมีผู้ฝึกฝนทั่วโลกในบัจจุบันเป็น จำนวนมากมาย

บรู๊ซลีได้ไปอมเริกาและได้นำหมัดช่วงสั้นหนึ่งนิ้วและสามนิ้วไปสาธิตที่การ แข่งขันศิลปป้องกันตัวของ ed parker ครูมวยคาราเต้รับบอเมริกันแคมโบ้ (American kempo) จนเป็นที่ตื่นเต้นแก่ผู้สนใจเป็นจำนวนมากและเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ เคโต้ และอ้ายหนุ่มซินตึ้ง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ยิปมันเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เมื่อยิปมันไม่ยอมถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับบรู๊ซได้ในเวลาอันสั้นด้วยความผิดหวัง บรู๊ซจึงได้คิดค้นมวยของตนเองขึ้นมาแล้วตัวชื่อว่า จิ๊ตคุนโด หรือวิชาหยุดหมัด สำหรับผู้ที่รู้จักมวยทั้งสองแล้วย่อมรู้ว่าบรู๊ซได้คงไว้ ซึ่งหลักวิชาหย่งชุนไว้อย่างมาก
ยิปมันเสียชีวิตลงในปี ค.ศ 1972 และถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ในยุคบัจุบันของหย่งชุน เคียงข้าง เซ็งหม่านชิง(แต้หมั่งแช-แต้จิ๋ว) แห่งสำนักไทเก็ก ยูอิชิบ้าแห่งสำนักไอคิโด ส่วนบรู๊ซลีเสียชีวิตอีกหนึ่งปีถัดมา

เจี้ยงฮกกิ่น จูเสาไหล่ และอนันต์ ทินะพงศ์
บรู๊ซลีมีเพื่อนสนิทในโรงเรียนและสำนักมวย ชื่อเจี๊ยงฮกกิ่น ทั้งคู่เรียนหนังสือและวิชาป้องกันตัวและออกประลองด้วยกัน ทั้งคู่ฝึกมวยหย่งชุนภายใต้การชี้แนะของยิปมันและศิษย์พี่จอมราวีหว่องซัม เหลียงและเจียงจกเฮง เจียงฮกกิ่นนอกจากการศึกษาวิชามวยหย่งชุนแลวยังได้ศึกษามวยไทเก็กตระกูลวู และบัจุบันได้สอนมวยทั้งสองชนิดนี้เป็นการส่วนตัวที่ รํฐลอสแองเจิลลิส อเมริกาและได้รับศิษย์เอกในวิชาหย่งชุนคือจูเสาไหล่
อาจารย์จูเสาไหล่ศึกษาศิลปป้องกันตัวตั้งแต่เล็กๆในวิชาคาราเต้โชชินริว ต่อมาได้ฝึกมวยตระกูลหงทั้งหมดในฐานะศิษย์เอกจากยี่จีเหว่ย ศิษย์อาจารย์ต๋องฟ้งศิษย์อาจารย์หวองเฟยหง อาจารย์จูเสาไหล่ได้ให้ความสนใจหมัดหย่งชุนมาเป็นเวลานานจึงได้เริ่มหัดมวย หยงชุน กับ อากว้าน ศิษย์หย่งชุนสำนักซีมเซียวซาน หลีหมุ่ยซาน ศิษย์อาจารย์หมุ่ยยัดศิษย์อาจารย์ยิปมัน อาจารย์จูเสาไหล่ยังได้พัฒนาตัวเองเพิ่มเติมจากอาจารย์หลุ่ยหยันซัน ราชากระบองแดนใต้และมวยซิ่งยี่หมัดจากใจและไทเก็ก อาจารย์จูเสาไหล่ยังศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์ฮอกกิ่นเป็นครั้งคราวเมื่อ อาจารย์อยู่ลอสแองเจิลลิส อเมริกา จึงได้กราบเป็นศิษย์อาจารย์ฮอกกิ่นจนถึงทุกวันนี้
อาจารย์อนันต์ได้เรียนรู้วิชาป้องกันตัวตั้งแต่อายุ 11 ปี ในวิชาเทควันโด้และมวยเสี้ยวลิ้มใต้จากอาจารย์คันศรเป็นเวลา 6-7 ปี และมวยไทยเมื่อคุณพ่อได้เปิดค่ายมวยไทยหลังจากนั้นจึงเดินทางไปเรียนต่อที่ อมเริกาขณะที่อยู่อมเริกาอาจารย์อนันต์ได้คลุกลีกับศิลปป้องกันตัวโดยตลอด โดยได้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายอุปกรณ์กีฬาป้องกันตัวเป็นเวลา10ปีที่นี่เอง อาจารย์อนันต์ได้พบกับอาจารย์จูเสาไหล่จนเป็นมิตรที่สนิทและได้แลกเปลี่ยน วิชากันถ้าใครแพ้ก็ต้องเรียนวิชาอีกฝ่ายหนึ่งและก็ต้องถ่ายทอดสื่งที่ตนเรียนมาให้โดยไม่มีเงื่อนไข
อาจารย์อนันต์ได้เรียนรู้วิชาหย่งชุนกับอาจารย์จูเสาไหล่เป็นเวลาหลายปีก่อนจะกลับเมืองไทยในปี ค.ศ. 1988 จากนั้นจึงเริ่มสอนวิชามวยหย่งชุนเป็นต้นมา