Sponsor

08 กันยายน 2565

คนที่มีความสุขจะพร่ำบ่นกับตัวเองหน้ากระจกว่า "ฉันมีความสุข" จริงๆหรือ?

หนังสือแนวพัฒนาตนเองในยุคหนึ่ง นิยมบอกให้ผู้คนพูดกับตัวเองว่า "ฉันมีความสุข" "ฉันเป็นคนพิเศษ" "ฉันมีความมั่นใจในตัวเอง" ฯลฯ หรืออะไรทำนองนี้ แน่นอนว่า มันย่อมเป็นเรื่องดีที่ผู้คนจะพูดสิ่งดีๆกับตัวเองมากกว่าสิ่งไม่ดี แต่หากมองอีกมุม คนที่มีความสุข เขาจะพร่ำบ่นกับตัวเองหน้ากระจกว่า "ฉันมีความสุข" จริงๆหรือ?

เราก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นไปตามกระแสของการพัฒนาตัวเองในยุคนั้นเหมือนกัน เคยคุยถึงเรื่องแบบนี้บ่อย ทุกวันนี้ถ้าดูในสื่อต่างๆ มีแต่คนสวยๆหล่อๆดีๆเก่งๆมากมาย จนเรารู้สึกเหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นปกติของสังคม ทั้งที่เมื่อคิดอีกที คุณคิดว่าคนที่โคตรเก่ง โคตรสวยหล่อ มีกี่%ในโลก? อาจแค่ 1% สื่อย่อมต้องนำเสนอสิ่งที่เป็นที่สุด ความปกติธรรมดา 99% เขาคงไม่เอาออกสื่อหรอก หรือไม่จริง? และเมื่อเราเห็น 1% นั้นในสื่อบ่อยๆ เราก็รู้สึกราวกับว่าทั้งหมดต้องเป็นอย่างนั้น และมีแค่เราคนเดียวที่ผิดปกติเพราะไม่ได้เป็นอย่างนั้น บางครั้งเราก็ลืมฉุกคิดในเรื่องนี้ จนทำให้เราไม่มีความสุข

การสอนให้ผู้คนบอกว่าตัวเองพิเศษ มันจะมีความพิเศษอยู่ 2 ทาง คือ โคตรเทพ กับ โคตรห่วย ทั้ง 2 อย่างนี้พิเศษ และสื่อก็จะนำเสนอ ดูได้จากข่าว ถ้าเก่งไม่ได้ ก็ทำคอนเท้นท์เหี้ยๆไปเลย โด่งดังเหมือนกัน ถ้า 99% พยายามทำอย่างหลัง สังคมคงจะวุ่นวายพิลึก

ก็เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่มีความสุขนั่นแหละ เราถึงได้พร่ำบ่นพยายามสะกดจิตตัวเองว่าเรามีความสุขไม่ใช่หรอ?
เราเป็นแค่ 99% เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง ที่ไม่ได้พิเศษ

บางที วิธีที่ดีกว่า ไม่ใช่การพร่ำบอกตัวเองว่ามีความสุข แต่อาจเป็นการยอมรับทุกความรู้สึกของตัวเอง ไม่ใช่การพร่ำบอกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ แต่อาจเป็นการยอมรับความเป็นเช่นนี้ของตัวเอง
แค่ยอมรับและดื่มด่ำกับความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเป็นมนุษย์ทั้งหมด สิ่งที่มีแต่มนุษย์ที่สามารถรู้สึกทั้งหมดนี้ได้ตามการปรุงแต่งของกาย หากเราปิดกั้นไม่ยอมรับรู้บางอารมณ์ในกายมนุษย์สามัญที่ต้องพบเจอเป็นธรรมดา เพราะแค่เราไม่ชอบ การได้เป็นมนุษย์ก็ไม่อาจสมบูรณ์
คุณอาจเป็น 99% เหมือนเรา เป็นคนธรรมดา เป็นคนที่ห่วยคนนึง เรายอมรับมันว่าตอนนี้เราเป็นอย่างนี้ และเราจะทำให้ตัวเองห่วยน้อยลงทุกวัน เป็นคนธรรมดาๆที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้นๆ
บางที คนที่พิเศษจริงๆ ก็อาจผลัดดันตัวเองด้วยความรู้สึกเช่นนี้ จึงเก่งขึ้นในทุกวันก็ได้

อันที่จริง การเป็นคนพิเศษหรือธรรมดา ก็ยังอยู่ในทวิภาวะของเส้นส่วนสุดทั้งสองข้าง ถึงที่สุดแล้ว เราควรจะอยู่เหนือเส้นส่วนสุดทั้งสองข้างนี้ คือ ไม่ต้องพิเศษหรือธรรมดา แค่เป็นเช่นนั้นเอง ยอมรับอย่างที่เป็น แล้วเป็นอย่างที่จะเป็น โดยไม่ต้องแปะป้ายอะไรให้ตัวเองอีกต่อไป

สังคมที่มีคุณธรรม,
จะไม่โหยหาคุณธรรม;
สังคมที่ไร้คุณธรรม,
จะโหยหาคุณธรรม;
สังคมที่พร่ำสอนคุณธรรม,
ป่าวประกาศราวกับว่ามีคุณธรรมนักหนา,
คือสังคมที่ไร้คุณธรรม.

06 กันยายน 2565

รอยบนพื้นผิวดวงจันทร์คือภาพประทับของแผนที่โลก? - The world map plasma moon

https://mountaindub.bandcamp.com/album/world-political-map

นี่เป็นภาพที่ชาวโลกแบนเรียกกันว่า The world map plasma moon ซึ่งเป็นภาพลวยลายของพื้นผิวหน้าของดวงจันทร์ที่นำมากลับซ้ายขวา และปรับสี เพื่อแสดงให้เห็นว่า นี่คือลายแผ่นที่โลกที่ประทับลงผิวหน้าของดวงจันทร์ และเหตุที่ต้องกลับซ้ายขวาก็เพราะว่ามันคือภาพสะท้อน กลับซ้ายขวาเพื่อให้เห็นในมุมที่คุ้นเคย ชาวโลกแบนบอกว่า ลายบนพื้นผิวของดวงจันทร์ก็คือแสงสะท้อนจากผิวโลก เหมือนแดดเลีย ส่วนที่เป็นทะเลและพื้นดินก็สะท้อนแสงต่างกัน แดดเลียจนความด่างประทับบนผิวดวงจันทร์ต่างกันไปจนกลายเป็นลวดลายของแผนที่โลกเหมือนมองจากกระจก(จึงต้องกลับซ้ายขวาก่อน จึงจะเห็นอย่างที่เราคุ้นเคย)
แผนที่ที่ชาวโลกแบนใช้อ้างอิง
นักบอลลูนและนักบินก็นิยมใช้
เนื่องจากกำหนดเส้นทางได้ง่าย
ทั้งยังถูกใช้เป็นโลโก้อีกหลายองค์กรระดับโลก

คนส่วนใหญ่ที่แซวชาวโลกแบน มักจะแซวหรือนึกภาพว่าชาวโลกแบนน่าจะเชื่อว่า โลกเป็นแผ่นแบนๆสี่เหลี่ยมเหมือนแผนที่โลกแบบกระดาษลอยอยู่ในอวกาศและวนรอบดวงอาทิตย์ซึ่งมีดาวอื่นๆเป็นทรงกลม ซึ่งอันที่จริง ชาวโลกแบนเขาไม่เชื่อเรื่องอวกาศ และพวกเขาเชื่อว่า มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดเท่าๆกัน ซึ่งไม่ใหญ่มากนัก เป็นคล้ายๆพาสม่าทั้งคู่ โดยดวงอาทิตย์ให้พลังงานความร้อน(แสงส่องโดนอะไรก็จะร้อนขึ้น) ดวงจันทร์ให้พลังงานความเย็น(แสงส่องโดนอะไรก็จะเย็นลง ต้องทดลองวัดอุณหภูมิในคืนวันเพ็ญว่าจุดที่อยู่กลางแจ้งโดนแสงจันทร์จะเย็นกว่าในร่มจริงมั้ย) ลอยสูงอยู่บนชั้นฟ้า แล้วโคจรอยู่ในรัศมีวงสีแดงในรูป(ที่มุมล่างขวาของรูป) โดยมีขั้วโลกเหนือเป็นศูนย์กลาง พวกเขาเชื่อว่าโลกเป็นวงกลมเหมือนเหรียญ โดยที่ขอบของวงกลม(ขอบของโลกแบนคือขั้วโลกใต้ของชาวโลกกลม)เป็นแผ่นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ การที่ชาวโลกกลมแซวว่าไปทางตะวันออก/ตกก็ไม่เห็นจะเจอขอบโลก ก็วนครบรอบได้อยู่นี่นา ก็คือความเข้าใจชาวโลกแบนผิดไปนั่นเอง(เพราะใช้แผ่นที่สี่เหลี่ยมของชาวโลกกลมมาพิสูจน์แนวคิดชาวโลกแบนที่ใช้แผนที่วงกลม) เพราะหากไปตะวันออก/ตกก็จะเป็นการเดินทางเป็นวงกลมของแผนที่ชาวโลกแบน แต่หากไปที่ขั้วโลกใต้ของชาวโลกกลมต่างหากคือขอบโลกของชาวโลกแบน(ประมาณว่า ถ้าวนรอบโลกในแนวทิศเหนือ/ใต้ได้จึงจะถือว่าโลกกลม ไม่ใช่ไปทางทิศออก/ตก) ซึ่งชาวโลกแบนบอกว่า ยังไม่เคยมีใครทำ (จริงหรือ?) เพราะขั้วโลกใต้เป็นเขตหวงห้าม

https://opensea.io/assets/ethereum/0x495f947276749ce646f68ac8c248420045cb7b5e/112781073003889060326952330142459745193637476143318861797342770350109598154753

มาต่อกันเรื่องแผนที่โลกบนดวงจันทร์ ทีนี้จะเห็นว่าแผนที่บนผิวดวงจันทร์นี้ก็มีพื้นดินบางส่วนเกินมา เช่น เกาะใหญ่ที่อยู่ใกล้ออสเตเรีย ซึ่งชาวโลกแบนสัญนิฐานว่า น่าจะเป็นแผ่นดินที่เคยมีอยู่จริงแต่จมทะเลไปแล้ว
ภาพดวงจันทร์ที่กลับซ้ายขวาแล้ว

ซึ่งเมื่อดูลายของดวงจันทร์(ที่กลับซ้ายขวาแล้ว)มันก็มีความคล้ายกับแผนที่โลกจริงๆ แต่ก็แค่ส่วนที่อยู่ในวงสีแดงเท่านั้น แล้วส่วนฝั่งซ้ายของรูปล่ะ มันคืออะไร? แผนที่โลกก็มีแค่นี่นี่นา? ชาวโลกแบนเขาเชื่อว่าโลกนี้เป็นแผ่นแบนๆกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด(เหมือนอวกาศที่ไม่สิ้นสุด) คืออย่างน้อยก็ยังไม่รู้ว่ามันสิ้นสุดตรงไหน ชาวโลกแบนจึงเชื่อว่า ฝั่งซ้ายของแผนที่นี้คือทวีปลับแลที่ในปัจจุบันน่าจะกำลังเป็นน้ำแข็งอยู่ เพราะดวงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง เนื่องดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะโคจรอยู่เฉพาะในวงสีแดง ดังนั้นส่วนนอกเหนือจากนี้คือน้ำแข็งล้วนและมืดมิด แต่ชาวโลกแบนเชื่อว่า ระยะโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมีการขยับไปตามเข็มนาฬิกาอยู่เสมอ ทีละน้อย ดังนั้น เมื่อผ่านยุค ถึงวันหนึ่ง วงโคจรของดวงอาทิตย์จะไปอยู่ในทวีปลับแล และก็วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆในแผ่นโลกนี้ ด้วยแนวคิดนี้ แผ่นดินฝั่งหนึ่งจะค่อยๆเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง และแผ่นน้ำแข็งฝั่งหนึ่งจะค่อยๆอุ่นขึ้น ก็เพราะวงโคจรของดวงอาทิตย์ฯกำลังเคลื่อนตัวอยู่นั่นเอง และวงโคจรนี้ก็เคยเคลื่อนวนอยู่อย่างนี้มาหลายกัป จนกระทั่งพื้นผิวดวงจันทร์มีภาพสะท้อนของทวีปทั้งหมดประทับเอาไว้
แต่ในแนวคิดของชาวโลกแบนก็ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่มองว่า ตรงแผ่นดินอื่นก็อาจมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ของตัวเองโคจรอยู่บนท้องฟ้าก็ได้ และอาจมีทวีปอื่นนอกเหนือจากที่ประทับบนดวงจันทร์ของเราก็เป็นได้

จะเห็นว่าแนวคิดของชาวโลกแบนจะไม่เหมือนกับชาวโลกกลมเลย แต่สิ่งที่คล้ายกันก็คือ ที่ชาวโลกกลมเชื่อว่ามีอวกาศไม้สิ้นสุด ชาวโลกแบนก็เชื่อว่าแผ่นดินไม่สิ้นสุด, ที่ชาวโลกลมเชื่อว่ามีกาแลกซี่อื่นๆอีกมากมาย ชาวโลกแบนก็เชื่อว่ามีทวีปลับแลอื่นๆอีกมากมาย, ที่ชาวโลกกลมเชื่อว่ามีดวงอาทิตย์(ดาวฤกษ์)ในระบบอื่นๆอีกมากกมาย ชาวโลกแบนก็เชื่อว่ามีดวงอาทิตย์ในทวีปอื่นๆอีกมากมาย, ฯลฯ

เราก็นำแนวคิดมาสรุปคร่าวๆโดยใช้ทฤษฎีผิวหน้าดวงจันทร์ของชาวโลกแบนมาเล่าเรื่อง เพื่อให้พวกเราเข้าใจแนวคิดของชาวโลกแบนอย่างพอสังเขป แต่ไม่ว่าใครจะเชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบน เราก็ควรเคารพความคิดเห็นของกันและกัน เพราะทุกคนก็อยู่บนโลกนี้ด้วยกัน
และสุดท้ายนี้อย่าลืมว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้สอนให้เชื่อ แต่มันคือกระบวนการเพื่อให้รู้

แถม
https://jazzylj.blogspot.com/2021/12/what-on-earth-happened.html ลิ้งค์แนะนำสำหรับคนที่สนใจศึกษาเพิ่มเติม ให้เป็นลิงค์รวมสารคดีในแนวนี้ เป็นสารคดีที่ถูกแบนบน Youtube มาก่อน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ชาวโลกแบนเอามาเคลมว่า "ทำไมเรื่อง UFO กับเรื่องมนุษย์ต่างดาว ไม่แบน แต่เรื่องโลกแบนโดนแบน เพราะมันคือความจริงที่ไม่อยากให้รับรู้ อย่างนั้นหรือ?" อืม... ก็.... เป็นคำถามที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

https://tenor.com/view/flat-earth-atmosphere-and-sun-and-moon-movement-gif-18798944

อ้างอิง