Sponsor

23 สิงหาคม 2552

Folding@home ร่วมประมวลผลโปรตีนเพื่อรักษาโรคด้วยกันครับ

โครงการ Folding@home เป็นโครงการวิจัยการถอดรหัสโปรตีนเพื่อมาทำการรักษาโรค โดยในการวิจัยนี้เป็นการจำลองการ "พับตัว" ของโปรตีนโดยใช้คอมพิวเตอร์ การพับตัวผิดพลาดทำให้เกิดการเกาะกลุ่มของโปรตีน เป็นต้นเหตุเกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น อัลไซเมอร์ โรควัวบ้า พากินสัน และก็มะเร็งบางประเภท ฯลฯ งานวิจัยนี้เป็นการประมวลผลที่ซับซ้อนมากๆ ต่อให้ใช้ SuperComputer ที่ดีที่สุดในโลกมาคำนวณก็สู้คอมพิวเตอร์ทั่วทั้งโลกที่ช่วยกันประมวลผลไม่ได้ และพวกเราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยนี้ได้ครับเพื่อช่วยกันวิจัยเพื่อรักษาโรค เพียงเข้าเว็บ Folding@home แล้วโหลดโปรแกรมให้ตรงตาม OS ที่ใช้อยู่ เมื่อติดตั้งโปรแกรมเสร็จก็เพียงต่อเน็ตเพื่อรับชิ้นส่วนโปรตีนมาประมวลผล ทุกๆครั้งที่เปิดเครื่องก็เพียงรันโปรแกรม Folding@home โปรแกรมก็จะประมวลผลอัตโนมัติ ซึ่งเท่าที่ผมได้ลองดูแล้วเขาจะให้ Deadline ไว้ประมาณ 2 เดือน ซึ่งก็คิดว่าเหลือเฟือสำหรับคนที่เปิดคอมฯทุกวัน เมื่อโปรแกรมประมวลผลโปรตีนเสร็จแล้ว ก็เพียงต่อเน็ตก็จะเป็นการส่งข้อมูลที่วิจัยกลับไปทางโครงการ Folding@home เท่านี้ก็เรียบร้อย
และเท่าที่ผมได้ลองดูแล้ว เปิดให้ประมวลผลประมาณ 6 วัน มาเนี่ย เพิ่งได้แค่ 70กว่า% (แบบว่าเปิดเครื่องแช่กันเลยทีเดียว และเครื่องเก่าแล้วด้วย อิอิ) ให้ความรู้สึกเลยว่า เราเพิ่งได้ประมวลผลเพียงเศษเสี้ยวของงานวิจัยทั้งหมดยังช้าขนานนี้ แล้วถ้าไม่มีคนช่วยเลย กว่าจะเสร็จก็คงนานมากๆเลย นึกแล้วก็อยากแนะนำให้คนที่สนใจช่วยกันประมวลผลกันน่ะครับ จะได้มีการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้ CPU ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุดกันเถอะ ขอนำคำขอบคุณจาก Folding@homeThailand มาใช้หน่อยล่ะครับ ขอให้กุศลของการบริจาคเวลาการทำงานของเครื่องท่านเพื่อช่วยเหลืองานวิจัยหา ยารักษาคนที่ป่วยเป็นโรคร้าย ให้ท่าน คนที่ท่านรักและครอบครัวประสบความสุขความเจริญตลอดไปเทอญ

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Folding@homeFolding@homeThailand
ต้องขอขอบคุณรายการ แบไต๋ไฮเทค ที่ทำให้รู้จักโครงการดีๆแบบนี้ครับ :) ลองดูในรายงานพิเศษนี้นะครับ เพื่อจะชอบโครงการอื่นๆด้วยครับ

09 สิงหาคม 2552

Minimalism ศิลปะแห่งความพอเพียง

ผมเป็นคนชอบงานศิลปะ เช่นเมื่อเห็น โปสเตอร์, ปกหนังสือ, แก้วน้ำ, ช้อน, ตะเกียบ ฯลฯ ผมจะเข้าไปดูการออกแบบ ที่แทบจะเรียกได้ว่าดูมันทุกอย่างเลย และที่ผมชอบมากที่สุดคือการออกแบบที่เรียกว่า Minimalism

Minimalism เป็นการออกแบบที่เน้นความน้อย ตัดรายละเอียดออกให้เหลือแต่แก่น ปล่อยให้วัสดุแสดงความเป็นตัวตนของมันอย่างชัดเจน ผมเคยอ่านศิลปินท่านนึง(จำไม่ได้ว่าเป็นใคร)เขานิยาม Minimalism ว่า "ปุ่มก็คือปุ่ม จะไม่ดัดจริตเป็นหัวจรวด" และในชีวิตประจำวันเราเห็น Minimalism อยู่บ่อยๆ อย่างเช่น สัญลักษ์ห้องน้ำชายหญิง ที่เราเรียกกันว่ารูปมนุษย์ห้องน้ำ ผมก็จัดให้อยู่ในการออกแบบแนว Minimalism เพราะมันตัดเหลือแต่แก่นจริงๆ ถึงไม่มีรายละเอียดมากมาย แต่เราก็เข้าใจได้ง่ายๆ หรือ ป้ายจราจร ก็ใช่การออกแบบแบบเดียวกัน ถึงไม่เคยเรียนก็น่าจะพอเดาความหมายของป้ายจราจรได้นะ ว่ามั้ยครับ อิอิ

หรือจะเป็นการออกแบบเครื่องเล่น MP3 ยอดนิยมก็ต้องเป็น iPod ซึ่งการออกแบบของ iPod ก็เป็นแนว Minimalism เน้นความเรียบง่ายใช้งานได้จริง จะว่าไปการออกแบบของ Apple Inc. ก็เน้นแนว Minimalism เป็นหลักเลยนะครับ(ผมคิดว่างั้นนะ) เพราะเห็นในการออกแบบแทบทุกอย่างเลย อย่าง iMac, MacBook ฯลฯ แค่เห็นก็รู้สึกเรียบง่ายๆ สบายๆ ที่จำจากอลูมิเนียม ก็แสดงความเป็นอลูมิเนียมอย่างแท้จริง ส่วนคอมรุ่นเดิมของ Apple Inc. ที่ทำจากพลาสติกใส ก็แสดงความโดดเด่นในรูปแบบของพลาสติกใสได้ลงตัวทีเดียว

Minimalism แสดงออกมาใน "ความเรียบง่าย" มักจะมี "ความหรู" มาด้วยเสมอ

ไม่ใช่แค่งานออกแบบเท่านั้นที่จะเป็น Minimalism แต่ยังมีในดนตรีอีกด้วยเรียกกันว่า Minimalist music หรือเป็นดนตรีแบบ Minimalism นั่นเอง เจ๋งมากๆ

ในงานดนตรีแบบ Minimalism เป็นแขนงนึงของ Modern Classic ซึ่งตามแบบ Minimalism ก็คือเน้นความน้อย จำกัดตัวโน้ตน้อยๆ เล่นแทรกกันไปมา ท่อนน้อยๆซ้ำไปซ้ำมา ก็ได้ความไพเพราะที่แปลกไปอีกแบบนึงเลยล่ะครับ อ่านจากตรงนี้ก็คงยังนึกไม่ออกต้องหาฟังกันดูครับ ผมก็ชอบแนวนี้มาก ศิลปินที่เป็นแนวนี้ผมจะแนะนำซัก 3 ท่านที่ผมชอบมากๆ คือ John Cage, Arvo Pärt และ Steve Reich โดยเฉพาะ John Cage ผมชอบที่สุดเลย เพราะไอเดียในการทำเพลงแปลกมากจนต้องอึ้ง แต่เพลงค่อยข้างฟังยากสักหน่อย

แต่ก็นั่นแหละในการออกแบบ โปรเตอร์, คอมพิวเตอร์, ดนตรี, การจัดบ้าน ฯลฯ หลายครั้งการออกแบบให้เรียบง่ายสวยงาม ก็ยากกว่าการใส่รายละเอียดซะอีก และบางทีสิ่งง่ายๆ เราก็มักคิดไม่ถึง

งั้นปิดท้ายด้วยการแนะนำงานเพลงของ John Cage ที่แสดงโดยวง Symphony ชื่อว่าเพลง 4'33" (สี่นาทีสามสิบสามวินาที) ระยะเวลาบรรเลงก็เท่ากับชื่อเพลงเลยครับ เพลงนี้มี 3 ท่อน เป็นเพลงที่ถูกกล่าวถึงมากหลังจากการนำออกแสดงครั้งแรกในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1952

แนะนำให้ลองตั้งใจดูและฟังนะครับ คุณจะได้พบสิ่งดีๆที่ไม่เคยพบจากเพลงอื่นๆเลยเชียวล่ะ

ศึกษาเพิ่มเติมที่Artgazine