Sponsor

05 พฤษภาคม 2568

Facilish - เฟซิลิช ภาษาประดิษฐ์ที่มีแค่ 2 คำถ้วน

FACILISH
ภาษาที่เรียบง่ายที่สุด โดย แจ็ค ไอเซนมานน์ (Jack Eisenmann) ใครๆก็สามารถเชี่ยวชาญ Facilish ได้ภายใน 3 นาที! เพียงแค่อ่านคู่มือนี้

ไวยากรณ์
มีคำเพียงชนิดเดียว คือ คำคุณศัพท์ (adjective) ประโยคประกอบด้วยคำคุณศัพท์ และจบด้วยเครื่องหมายจุลภาค [,], จุด [.], เครื่องหมายคำถาม [?] หรือเครื่องหมายอัศเจรีย์ [!]

พจนานุกรม
+ : /i/ [ออกเสียว่า อี] เหมือนในคำว่า "bEEt" (adj) [แปลว่า] ดี; มีความสุข; เชิงบวก.
– : /u/ [ออกเสียงว่า อู] เหมือนในคำว่า "bOOt" (adj) [แปลว่า] แย่; ไม่มีความสุข; เชิงลบ.

ตัวอย่าง

+ –? +. + + +.
(ฉันรู้สึกอย่างไร? ฉันมีความสุข. ค่อนข้างมีความสุขมาก.)

+ + + – –. – – + + + + +!
(บางครั้งชีวิตก็มอบมะนาวให้คุณ. จงทำน้ำมะนาว!)

ขอแสดงความยินดีด้วย! ตอนนี้คุณพูดภาษา Facilish ได้คล่องแคล่วแล้ว ไปสอนเพื่อนและครอบครัวของคุณได้เลย!

หมายเหตุ
ยัติภังค์สั้น ("-") อาจพิมพ์ได้ง่ายกว่ายัติภังค์ยาว ("–") แต่ยัติภังค์ยาวมีความยาวใกล้เคียงกับเครื่องหมายบวกมากกว่า จึงดูสวยงามกว่า แต่ทั้งยัติภังค์สั้นและยัติภังค์ยาวสามารถใช้แทนคำเดียวกันนี้ได้

=======


ภาษาเฟซิลิชเป็นภาษาประดิษฐ์ที่เรียบง่ายอย่างสุดขั้ว เพราะมีคำเพียง 2 คำ คือ + กับ – เป็นเหมือนภาษาเลขฐาน 2 คือ 0 กับ 1 อาจเรียกได้ว่าเป็นภาษาหยินหยางก็ได้อยู่นะครับ

ด้วยข้อจำกัดของภาษาเฟซิลิชที่มีเพียงสองคำและเครื่องหมายวรรคตอน การสื่อสารจึงต้องอาศัย บริบท, จำนวนคำ, และ เครื่องหมายวรรคตอน เป็นหลัก ว่าแต่จะใช้ภาษาเฟซิลิชสื่อสารกันได้อย่างไรล่ะ? เมื่อได้มีเวลาทำความเข้าใจจากคู่มือภาษาฯ ก็พบแนวทางว่าจะใช้ภาษานี้สื่อสารกันได้ประมาณนี้ครับ มา เรามาลองคิดหาวิธีที่จะใช้ภาษาสองคำนี้ในการสื่อสารกันเถอะ

แสดงความรู้สึกหรือทัศนคติ
คำเดี่ยวๆ
+ = สื่อถึงความรู้สึกดี, เห็นด้วย, ใช่, โอเค, ชอบ, มีความสุข
– = สื่อถึงความรู้สึกไม่ดี, ไม่เห็นด้วย, ไม่, ไม่โอเค, ไม่ชอบ, ไม่มีความสุข

การใช้คำซ้ำๆสามารถเน้นความรู้สึกนั้นๆได้
+ + +. = มีความสุขมาก, ดีมาก
– – –. = แย่มากๆ, ไม่พอใจอย่างยิ่ง

ถามคำถาม
การใช้เครื่องหมายคำถาม ? ต่อท้ายคำหรือกลุ่มคำ จะเปลี่ยนจากความหมายเป็นการถาม
+? = ดีไหม?/โอเคไหม?/คุณมีความสุขไหม?
–? = ไม่ดีเหรอ?/ไม่โอเคใช่ไหม?/คุณไม่มีความสุขเหรอ?
+ +? = ดีมากๆเลยใช่ไหม?
+ –? = ดีหรือไม่ดี?/โอเคหรือไม่โอเค?/มีความสุขหรือไม่มีความสุข?/รู้สึกอย่างไรบ้าง?

แสดงความตกใจหรือความตื่นเต้น
การใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ ! จะแสดงถึงอารมณ์ที่เข้มข้น
+! = เยี่ยมไปเลย!/ดีจริง!
–! = แย่แล้ว!/ไม่นะ!

สร้างวลีหรือประโยคอย่างง่าย
การเรียงร้อยคำคุณศัพท์หลายๆคำเข้าด้วยกัน (อาจคั่นด้วยจุลภาค) อาจสื่อถึงความรู้สึกหรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย แต่การตีความจะขึ้นอยู่กับบริบทอย่างมาก
++, –. = (อาจจะหมายถึง) เริ่มต้นดีๆอยู่ แล้วก็แย่ลง
– –, +! = (อาจจะหมายถึง) แย่มากๆ แต่สุดท้ายกลับดี!

อาศัยบริบทอย่างมาก
ภาษาเฟซิลิชจะพึ่งพาบริบทของการสนทนาอย่างมาก ผู้ฟังจะต้องพิจารณาถึงสถานการณ์, น้ำเสียง (ถ้าพูด), และภาษากายของผู้พูดเพื่อที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริง เช่น ถ้ามีคนพูด "+" หลังจากที่คุณเล่าเรื่องตลก อาจจะหมายถึง "ตลกดี" แต่ถ้าพูด "+" หลังจากที่คุณบอกข่าวดี อาจจะหมายถึง "ยินดีด้วย"

ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องพิจารณา
ด้วยคำศัพท์ที่จำกัด การสื่อสารมีแนวโน้มที่จะกำกวมและคลุมเครือสูงมาก การตีความอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
การถ่ายทอดความคิดที่ซับซ้อน, รายละเอียด, หรือเรื่องราวจะทำได้ยากหรือไม่ได้เลย
ถ้าต้องการใช้ภาษาเฟซิลิชจะต้องมีการ ตกลงหรือเข้าใจร่วมกันในระดับหนึ่ง ว่าการใช้คำและเครื่องหมายวรรคตอนในบริบทต่างๆจะหมายถึงอะไร เช่น อาจแบ่งช่วงคำเพื่อบอกความเป็นไปของอารมณ์ความรู้สึกในวันนั้น [ช่วงเช้า, ช่วงกลางวัน, ช่วงเย็นของวัน] เป็นต้น ก็อาจสื่อสั้นๆได้ถึงความรู้สึกในแต่ละช่วงของวัน เป็นต้น

คำศัพท์ที่ต้องรู้
+  + + +  + !
ผมคงไม่ต้องแปล เพราะผู้ที่ติดตามซีรี่ย์ภาษาประดิษฐ์ของเราน่าจะรู้อยู่แล้วว่าศัพท์ที่ต้องรู้คืออะไร อิอิ  

เฟซิลิชเป็นภาษาที่เน้นความเรียบง่ายสุดขั้ว การสื่อสารจึงเป็นไปในลักษณะของการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกขั้นพื้นฐาน โดยอาศัยบริบทและเครื่องหมายวรรคตอนเป็นตัวช่วยในการสื่อความหมาย การสื่อสารที่ซับซ้อนหรือต้องการรายละเอียดอาจจะไม่สามารถทำได้ด้วยภาษานี้ มันจึงเหมือนเป็นภาษาเชิงทดลอง เหมาะสมกับการใช้แสดงความรู้สึกสั้นๆง่ายๆ มากกว่าที่จะเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง
ลองนึกภาพว่าเหมือนกับการใช้แค่การแสดงสีหน้า 'ยิ้ม' กับ 'ขมวดคิ้ว' สำหรับการสื่อสารทั้งหมด สามารถใช้บอกความรู้สึกพื้นฐานได้ แต่การสนทนาที่ลึกซึ้งคงเป็นไปได้ยากนั่นเองครับ


แถม
ภาษาประดิษฐ์ที่ถูกใช้เพื่อสื่อสารกันจริงๆทั่วโลก ซึ่งได้รับความนิยมและน่าสนใจ

Tuki Tiki - ตูกีตีกี ภาษาประดิษฐ์อันเรียบง่ายแห่งความหมายที่ซ่อนไว้

คำว่า Tuki Tiki เขียนด้วยตัวเขียน titi pula
หรืออักษรภาพของ Tuki Tiki

สวัสดีครับ คราวก่อนได้นำเสนอภาษาประดิษฐ์ (Conlang) ที่เรียบง่ายอย่าง Toki Pona ซึ่งมีศัพท์แค่ 120 คำก็สามารถสื่อสารได้แล้ว คราวนี้มาแนะนำภาษาที่เรียบง่ายยิ่งกว่านั้นอีกครับ!
Tuki Tiki ตูกีตีกี (tuki (พูด), tiki (อ้อมค้อม) ภาษาแห่งการอ้อมค้อม) เป็นภาษาประดิษฐ์ที่เรียบง่ายอย่างยิ่งและน่ารักอย่างมาก ประดิษฐ์โดย ka Tumu (Ðoom Epictooþ) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาโตกีโปนา เป้าหมายของตูกีตีกีคือการบีบอัดไวยากรณ์และคำศัพท์ของโตกีโปนาให้เหลือขนาดที่เล็กยิ่งขึ้น และยังใช้งานได้จริง โดยในปัจจุบันมีคำศัพท์เพียง 39 คำ ก็สามารถใช้สื่อสารได้แล้ว นับว่าเป็นภาษาประดิษฐ์ที่ลดทอนจนเรียบง่ายอย่างยิ่ง เน้นคำที่เป็นความหมายรากฐานอย่างสุดขั้ว ใช้คำน้อยแต่กินความมาก จึงจำเป็นต้องใช้บริบท และความคิดสร้างสรรค์อย่างยิ่งในการตีความ รวมถึงการผสมคำเพื่อสื่อถึงความหมายซับซ้อนยิ่งขึ้น
ลองนึกภาพนักผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกถูกพัดมาติดที่เกาะร้าง ต่างคนต่างพูดคนละภาษา และด้วยคำศัพท์เพียง 39 คำของภาษาตูกีตีกีพวกเขาก็สามารถสื่อสารความคิด ความต้องการพื้นฐาน แบ่งปันรอยยิ้มสร้างมิตรภาพ แบ่งปันอาหาร วางแผนการเดินทางสำรวจ และสร้างชุมชนร่วมกันได้อย่างรวดเร็วราวกับมีเวทมนต์ นี่แหละความน่าทึ่งของความเรียบง่าย

ทุกคำของตูกีตีกีกินความกว้างมาก ในการตีความจะต้องพยายามนำความเกี่ยวข้องทุกอย่างรอบตัวในขณะนั้น คำที่ใช้ อุปมาอุปไมยของแต่ละคำ เพื่อนำมาใช้ตีความให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภาษเชิงปรัชญาแห่งความเรียบง่ายนี้จะช่วยลดความฟุ้งซ่ายทางความคิด ทำให้เราต้องมีสติอยู่กับบริบทในปัจจุบันอย่างแท้จริง และด้วยความหมายที่กว้างก็ทำให้เราต้องโฟกัสเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริงๆ ไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่อาจไม่ได้สำคัญอะไรเลย อาจช่วยให้ความคิดชัดเจนขึ้นอย่างถึงราก คิดอย่างลึกถึงแก่น สื่อถึงสิ่งที่ต้องการจากรากฐานอย่างแท้จริง นั่นแหละความเรียบง่าย ดูเหมือนอ้อมค้อมแต่กลางเป้า เป็นภาพรวมที่เจาะจง

การเขียน
ตัวพิมพ์ (titi Latila)
ตัวอักษรมีทั้งหมด 8 ตัว

พยัญชนะ 5 ตัว
p = ป, t = ต, k = ก, l = ล, m = ม

สระ 3 ตัว
a = อา, i = อี, u = อู

ซึ่งการเขียนทุกคำจะใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด ยกเว้นชื่อที่จะขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่

ตัวเขียน (titi pula)
ตัวเขียนจะเป็นการเขียนเชิงสัญลักษณ์ คล้ายภาษาอินเดียนแดง ซึ่ง 1 ตัวเขียน ก็แทนคำ 1 คำ (เหมือนอักษรจีนหรือตัวคันจิ)
(ฟ้อนต์ตัวเขียนมาตราฐาน titi-pula-lili.otf เมื่อลงฟ้อนต์เสร็จแล้ว ให้เข้าโปรแกรมออฟฟิศเมื่อเลือกฟ้อนต์แล้วพิมพ์ถ้ามันไม่รวมคำเป็นตัวเขียน ให้ปิดตัวตรวจการสะกดคำ(autocorrect) และเปิด ligatures (อักษรควบมาตราฐาน) โดยเข้าไปที่เมนู Format (รูปแบบ) > Character... (อักษร...) ในหน้านั้นให้ไปที่แท๊บ Font (แบบอักษร), กดที่ Effects (เอฟเฟกต์) ในฝั่งชื่อฟ้อนต์, ติ๊กถูกที่ ligatures (อักษรควบมาตราฐาน), กดตกลงทั้งหมด เป็นอันเสร็จ
ทีนี้ก็สามารถพิมพ์อักษรโรมันภาษาตูกีตีกีแล้วโปรแกรมจะรวมเป็นตัวเขียนให้เรียบร้อย หากต้องการระบุชื่อให้ใส่ในวงเล็กเหลี่ยม หากต้องการรวมคำขยายในตัวเขียนเดียวให้กด + แล้วพิมพ์ เอาออกกด - แล้วลบ)

(ดูพจนานุกรมตูกีตีกีท้ายบทความ) 

คำทั้งหมดในตูกีตีกี 39 คำ
ตัวเขียน (titi pula) และตัวพิมพ์ (titi Latila)

การตีความ
ภาษาตูกีตีกีใช้คำน้อยแต่กินความมาก แต่ละประโยคจึงอาจตีความได้มากมาย ซึ่งต้องทำความเข้าใจโดยการตีความจากนัยยะโดยรวมของคำ เครื่องหมายวรรคตอน และบริบท
mi muku. = ฉันกิน/ฉันกำลังกิน/ฉันจะกิน/ฉันกินแล้ว
li a. = นั่นอาห์/นั่นอ่ะ/นั่นแหละ/นั่นแหละใช่เลย/นั่นทั้งหมดเลย/นี่ถูกต้อง/นี่มีอยู่จริง/นี่นะ

แต่ละคำตีความได้หลายความหมาย
ka = สิ่งมีชีวิต, คน, สัตว์, หมา, แมว
kati = พืช, ผัก, ต้นไม้, ใบไม้, แผ่น

ทุกคำสามารถเป็นคำนาม, คำกริยา, คำคุณศัพท์(adj), หรือคำวิเศษ(adv) ได้ ขึ้อยู่กับตำแหน่งของคำ
tilu = น้ำ, ล้าง, เปียก
muku = อาหาร, กิน, เป็นอาหาร, น่ารัก

ประโยคพื้นฐาน
li ใช้ขั้นระหว่างประธานกับภาคแสดง หรือบ่งชี้ว่าคำต่อไปเป็นภาคแสดง เป็นการอธิบายลักษณะของประธาน
kati li muku. = พืช+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เป็นอาหาร = พืชเป็นอาหาร
tili li pula. = น้ำ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ดี = น้ำนั้นดี

หรือบ่งชี้ว่ามีการกระทำ ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบท
ka li muku. = คน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน = คนกิน
ka li lapi. = คน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+นอน = คนนอน

ถ้าประธานเป็น mi (ฉัน), tila (คุณ), li (นี่, นั่น, เขา, เธอ, พวกเขา, มัน) ไม่ต้องใช้ li ขั้นภาคแสดง
mi tuki. = ฉันพูด
tila pula. = คุณดี/คุณสบายดี/คุณโอเคดี
li pula. = นี่ดี
li ka. = นี่คือสิ่งมีชีวิต

คำขยาย
สามารถต่อท้ายคำนามได้เลยเหมือนในภาษาไทย เป็นคำผสม เหมือนการสร้างคำนามใหม่ หรือคำนามวลีที่เฉพาะเจาะจง
lupa mi. = บ้าน+ฉัน = บ้านฉัน = บ้านของฉัน
lupa telu. = ห้อง+น้ำ = ห้องน้ำ
ku pula. = อารมณ์+ดี = อารมณ์ดี
ka telu. = สัตว์+น้ำ = สัตว์น้ำ = ปลา

การปฏิเสธใช้คำว่า ala ต่อท้าย
mi lapi ala. = ฉัน+นอน+ไม่ = ฉันหานอนไม่ = ฉันไม่นอน/ฉันไม่ได้นอน
mi ala pali. = ฉัน+ไม่+ทำ = ไม่ใช่ฉันทำ

คำขยายเป็นเสมือนการสร้างคำใหม่โดยอิงคำแรกเป็นหลักแล้วคำที่ตามมาขยายต่อไป อาจต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสื่อถึงสิ่งที่ต้องการอย่างอิสระด้วยสำนวนของตัวเอง ตัวอย่างเช่น
ka lupa. = สัตว์+บ้าน = สัตว์เลี้ยง/หมา/แมว/ฯลฯ
ka lili. = คน+เล็ก = คนเล็ก = เด็ก
ka tilu lili. = สัตว์+น้ำ+ตัวเล็ก = สัตว์น้ำตัวเล็ก = ปลาตัวเล็ก
iku pula muku. สิ่ง+ดี+กินได้ = สิ่งดีที่กินได้

อย่าสับสนกับการใช้ li เชื่อที่ใช้บ่งชี้ถึงภาคแสดงที่บ่งบอกลักษณะของประธาน
ka li lili. = คน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = คนที่ตัวเล็ก
ka lili li lili. = คน+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = เด็กที่ตัวเล็ก

kati muku pula. = ผลไม้+หวาน+ดี = ผลไม้รสหวานอร่อยดี
kati muku li pula. = ผลไม้+หวาน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ดี = ผลไม้รสหวานนั้นดีงาม

คำนามที่ถูกกระทำ (กรรม)
จะใช้ i เป็นคำเชื่อมกริยากับกรรมตรง บ่งชี้ถัดไปเป็นสิ่งถูกกระทำ
ka lili li muku i kati. = คน+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้สิ่งถูกกระทำ)+ผัก = เด็กกินผัก
ka lupa li muku i ka tilu. = สัตว์+บ้าน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้สิ่งถูกกระทำ)+สัตว์+น้ำ = สัตว์บ้านกินสัตว์น้ำ = สัตว์เลี้ยงกินปลา = หมา/แมวกำลังกินปลา
li muku i a. = มัน+กิน+(บ่งชี้สิ่งที่ถูกกระทำ)+ทุกอย่าง = มันกินทุกสิ่งทุกอย่าง
li uli i li. = เขา+ต้องการ+(บ่งชี้สิ่งที่ถูกกระทำ)+มัน = เขาต้องการมัน

การใช้ lu กับ la
lu เป็นคำบุพบทหรือคำเชื่อมก็ได้
mi lu kiku kati. = ฉัน+อยู่ที่+สถานที่+ที่มีต้นไม้ = ฉันอยู่ที่สวน (คำบุพบท)
tila muku lu mi. = คุณ+กิน+กับ+ฉัน = คุณกำลังกินอยู่กับฉัน (คำบุพบท) (ยังแปลได้อีกว่า คุณน่ารักสำหรับฉัน)
mi lu tila mi muti. = ฉัน+และ+คุณ+เรา+เล่น = ฉันและคุณพวกเรากำลังเล่น (คำเชื่อม)
lupa lu tilu. = ห้อง+แห่ง+น้ำ = ห้องแห่งน้ำ = ห้องของน้ำ = ห้องเก็บน้ำดื่ม

คำเชื่อมสำหรับภาคแสดงให้ใช้ li ซ้ำในการคั่นภาคแสดงแต่ละอย่าง
ka li li lili li muku. = สัตว์+นี้+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+น่ารัก = สัตว์นี้ตัวเล็กและน่ารัก

สำหรับกรรมตรงใช้ i ซ้ำในการคั่นสิ่งที่ถูกกระทำแต่ละสิ่ง
mi muku i tilu i kati. = ฉัน+กิน+(บ่งชี้กรรม)น้ำ+(บ่งชี้กรรม)+ผัก = ฉันกินน้ำและผัก

la คำเชื่อมบริบท, คำเชื่อมวลีเงื่อนไข แปลคร่าวๆประมาณ ก็, ย่อม
ki la li lu lupa mi. = บางที+ก็+เขา+อยู่ที่+ห้อง+ของฉัน = บางทีเขาก็อยู่ที่ห้องของฉัน
kiku kati la ka lili li lapi = สถานที่+ที่มีต้นไม้+ก็+สิ่งมีชีวิต+ตัวเล็ก+(ชี้กริยา)+นอน = ในป่าสัตว์ก็พักผ่อน
"ในป่า" คือบริบท จากนั้น "ก็" เข้ามาเชื่อม "สัตว์ตัวเล็ก" ซึ่งก็คือประธานในที่นี้ที่มีภาพแสดงเป็นการนอน ใช้ la เป็นการเชื่อมเพื่ออ้างถึงบริบทกับประธานนั่นเอง

การบอกว่า 'มี'
ในภาษาตูกีตีกีไม่มีคำว่า 'มี' โดยตรง จึงอาจต้องใช้รูปแบบไวยกรณ์ช่วย เช่น
ilu li lu mi. = เครื่องมือ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+อยู่กับ+ฉัน = เครื่องมืออยู่กับฉัน = ฉันมีเครื่องมือ

การเปรียบเทียบ
อาจใช้ la ในการเปรียบเทียบ
kati mi lu kati tila la, kati mi li tiku. = ต้นไม้+ของฉัน+กับ+ต้นไม้+ของคุณ+ก็+ต้นไม้+ของฉัน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+สูง = ต้นไม้ของฉันกับต้นไม้ของคุณก็ต้นไม้ของฉันสูง = ต้นไม้ของฉันสูงกว่าต้นไม้ของคุณ

การระบุชื่อ
ชื่อในตูกีตีกีจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้น สำหรับชื่อคนให้ใส่ ka ไว้ข้างหน้า เพื่อระบุว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งในที่นี้คือ 'คน'

ka Lila = คน+(ชื่อ)ลีลา = คนชื่อลีลา = คุณลีลา

ถ้าเป็นชื่อประเทศให้นำหน้าด้วย kiku, ชื่อภาษานำด้วย tuki, ชื่อต้นไม้นำด้วย kati และอื่นๆก็นำด้วยคำที่สื่อถึงสิ่งนั้น เป็นต้น

ถ้าเคร่งครัดจริงๆก็ต้องใช้เพียงตัวอักษรเท่าที่มีในตูกีตีกีเท่านั้น โดยเทียบเสียงตัวสะกดคำให้ใกล้เคียงชื่อมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าไม่เคร่งครัดมากนักอาจสะกดเป็นภาษาอังกฤษไปเลยก็ไม่เป็นไร

หากใช้เป็นตัวเขียน (แบบตัวอินเดียนแดง) ในการเขียนชื่อ ก็ใช้คำนำหน้าด้วยเช่นกันแล้วตามด้วยชื่อ โดยส่วนชื่อจะใช้ตัวเขียนตัวใดก็ได้โดยถือเอาตัวอักษรตัวแรกของคำอ่าน (ตัวพิพม์) ของตัวเขียนนั้นแทนตัวอักษร และเมื่อระบุชื่อเสร็จแล้วให้ขีดเส้นใต้ชื่อและบนชื่อเพื่อระบุว่าเป็นส่วนของชื่อ หรือส่วนของชื่อจะเขียนเป็นตัวพิมพ์ก็ได้

คำถาม
คำถามปลายปิด ที่ต้อง ใช่/ไม่ นั้นใช้รูปแบบ "คำกริยา ala คำกริยา"
tila muku ala muku? = คุณ+กิน+ไม่+กิน? = คุณกินไม่กิน? = คุณกินมั้ย?

ในการตอบ ถ้าใช่ ก็ให้ตอบคำกริยานั้นไป
muku. = กิน

ถ้าไม่ก็ใส่ ala หลังคำกริยา (หรือห้าคำกริยาก็ได้)
muku ala. = กิน+ไม่ = หาได้กินไม่ = ไม่กิน

tila pula ala pula? = คุณ+ดี+ไม่+ดี? = คุณดีหรือไม่ดี?/คุณสบายดีมั้ย?/คุณโอเคมั้ย?
ตอบได้ว่า pula (สบายดี), pula ala (ไม่ค่อยสบาย)

คำถามปลายเปิดจะใช้คำว่า timi (อะไร) วิธีใช้คล้ายๆภาษาไทย
li timi? = นี่อะไร?
ka timi li muku i tilu mi? = คน+ไหน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้กรรม)+น้ำ+ฉัน? = คนไหนกินน้ำของฉัน? = ใครกินน้ำของฉัน?
mi ilu timi i iku li? = ฉัน+ใช้+อะไร+(บ่งชี้กรรม)+เครื่องมือ+นี้? = ฉันใช้อย่างไรกับเครื่องมือนี้ = ฉันจะใช้เครื่องมือนี้อย่างไร?

คำสั่ง
ตูกีตีกีไม่มีประโยคคำสั่ง เป็นแค่ประโยคบอกเล่า ต้องใช้บริบทเข้าช่วย
tila muku alal i mi! = คุณ+กิน+ไม่+(บ่งชี้กรรม)+ฉัน! = คุณไม่กินฉัน! = แกอย่ากินฉันนะ!
tila taka i kati lu mi. = คุณ+เคลื่อน+(บ่งชี้กรรม)+ผัก+สู่+ฉัน = คุณส่งผักให้ฉันที
mi uli i muku. = ฉัน+ต้องการ+(บ่งชี้กรรม)+อาหาร = ฉันต้องการอาหาร
muku! = อาหาร!

สี
คำศัพท์ตูกีตีกีไม่มีการกำหนดสี แต่มีคำว่า tulu แปลว่า สี อยู่ จึงอาจจำเป็นต้องสร้างคำนามวลีขึ้นมาด้วยการผสมคำขึ้นมาเองด้วยสำนวนของแต่ละคน แนะนำว่าอย่างน้อยควรกำหนดสีพื้นฐานสัก 5 สี ตัวอย่างเช่น
tulu kasi. = สี+ใบไม้ = สีเขียว
tulu tulu. = สี+ไฟ = สีแดง
tulu kiku. = สี+ดิน = สีกากี/สีเหลือง
tulu ku. = สี+ก๊าซ = สีขาว
tulu lapi. = สี+มืด = สีดำ

ห้าสีนี้ผมเอา 5 ธาตุของปรัชญาจีนมาใช้ เพื่อนๆอาจนำไปใช้หรือสร้างนามวลีตามที่คุ้นเคยดูครับได้ครับ
ทีนี้สมมุติว่าได้สีพื้นฐานเป็นของตัวเองแล้ว สีอื่นๆก็อาจใช้การผสมสีเอาก็ได้
tulu tulu tiku. = สี+ไฟ+ท้องฟ้า = สีแดงอมฟ้า/น้ำเงิน = สีม่วงโทนร้อน
tulu tiku tulu. = สี+ท้องฟ้า+ไฟ = สีฟ้า/น้ำเงินอมแดง = สีม่วงโทนเย็น

tilu tulu tulu. = น้ำ+สี+ไฟ = เลือด/น้ำผลไม้ (ขึ้นอยู่กับบริบท)
tilu li tulu tulu. = น้ำ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+สี+ไฟ = น้ำที่สีแดง

เก็บตกประโยคตัวอย่างที่น่าสนใจ
tila muku. = คุณคือหวานใจ/คุณอร่อย (?)/คุณคืออาหาร (?!)/คุณกิน (ต้องใช้บริบทช่วยอย่างมาก จงอยู่กับปัจจุบันขณะ อิอิ)
tila muku mi. = คุณคือหวานใจของฉัน
tila muku i mi?! = คุณกินฉัน?!/คุณกัดฉัน?!
mi ka. = ฉันเป็นคน/ฉันมีชีวิต/ฉันเป็นสิ่งมีชีวิต
li li. = นั่นเขา/นั่นมัน
tuki muku a. = ภาษาน่ารักอ่ะ
tuki a i muti. = พูดเพียงแค่ว่าสนุก
ka a li uli muku. = ทุกคนต้องการกิน/ทุกคนต้องการอาหาร
ka a li uli muku i muku. = ทุกคนต้องการกินอาหาร

คำที่ต้องรู้
mi ku muku i tila. = ฉันรู้สึกหวานต่อคุณ = ฉันรักคุณ
mi uli i tila. =  ฉันปราถนาคุณ = ฉันรักคุณ

ไม่มีคำที่จะสื่อตรงๆ (ภาษาแห่งการอ้อมค้อมจริงๆด้วย!) และสามารถพูดแบบอื่นได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับการตีความเป้าประสงค์ภายในจริงๆ และสำนวนของแต่ละคนเลยครับว่าต้องการสื่อออกมาไปในทางไหน

มีความยืดหยุ่นสูงมาก ไม่มีอะไรตายตัวซะทีเดียว ภาษาตูกีตีกีเปิดให้สร้างสรรค์ได้อย่างอิสระในแบบของตัวเอง เหล่านี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น
แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเห็นว่าไวยกรณ์ตูกีตีกีจะเหมือนกับโตกีโปนา เอาจริงๆการเรียงคำก็คล้ายๆกับไวยกรณ์ไทย คนไทยน่าจะเรียนรู้ภาษาตูกีตีกีได้ไม่ยาก

เบื้องต้นกับตูกีตีกีก็ประมาณนี้ครับ
หากขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


ภาษาตูกีตีกีนับว่ายังคงใหม่อยู่มาก และยังไม่ได้รับความนิยมเป็นวงกว้างเมื่อเทียบกับโตกีโปนา มีความเป็นกึ่งภาษาทดลองอยู่ในระดับนึง แต่ก็ใช้ได้จริง แม้ออกจะกินความกว้างและอาจนามธรรมไปสักหน่อยเมื่อใช้งาน เพราะสามารถตีความได้มากมายจนแทบจะนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว จึงต้องใช้บริบทและไวยกรณ์ช่วยอย่างมาก ต้องคิดให้ถึงรากของสิ่งที่ต้องการจริงๆ ทำให้บางครั้งการพูดอย่างเจาะจงเกินไปอาจต้องอ้อมไปอ้อมมาเหมือนความหมายของชื่อตูกีตีกี ต้องปรับวิธีคิดให้ตรงกับภาษาเชิงปรัชญาอันเรียบง่ายนี้ คิดเป็นภาพรวมอย่างเจาะจง
สำหรับการใช้งานส่วนตัวคิดก็ว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก เพียงแค่ 39 คำก็เพียงพอต่อการสื่อสารแล้วล่ะครับ แล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนภาษาจีนโบราณ ที่เวลาอ่านต้องตีความหลายตลบกว่าจะเข้าใจสิ่งที่สื่อได้ ซึ่งภาษาจีนโบราณนั้นออกแบบมาสำหรับการอ่านเขียนเพื่อเป็นภาษาวรรณกรรมโดยเฉพาะอยู่แล้ว ส่วนตัวเลยคิดว่าตูกีตีกีก็น่าจะเหมาะกับการสื่อสารด้วยการอ่านเขียนมากกว่าเพราะมีเวลาให้ตีความ แต่ด้วยตัวภาษาตูกีตีกีเองรู้สึกว่าจะออกแบบมาสำหรับทั้งฟังพูดอ่านเขียนได้เลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายที่น่าลองใช้ดูในชีวิตประจำวันเหมือนกันครับ
หากพิจารณาถึงการเป็นภาษาสากล เอาจริงๆโตกีโปนามีการพัฒนาจนสมบูรณ์ในระดับนึงแล้ว และมีชุมชนที่ใช้อย่างแพร่หลายเป็นอันดับสองของภาษาประดิษฐ์ที่ใช้กันบนโลกออนไลน์ (แน่นอนว่าอันดับหนึ่ง คือ พี่ใหญ่ เอสเปรันโต ของเรานั่นเอง) หากจะมองหาความเป็นภาษาสากล อาจต้องมองโตกีโปนาไว้เป็นตัวเลือกหนึ่งด้วยล่ะครับ อย่างไรก็ตาม ตูกีตีกีก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว อย่างเช่นในชุมชน https://www.reddit.com/r/tukitiki/ และ https://discord.com/invite/BkK8nn9fXe ก็มีผู้ใช้กันพอสมควร ด้วยความน้อยแต่มากของมันอาจจะทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่โตกีโปนาเคยเป็นก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะเนอะ

ตูกีตีกีเป็นภาษาที่น่ารักและน่าสนุกมากๆ ความกระทัดรัดคือเสน่ห์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยทีเดียวล่ะครับ

พจนานุกรม ตูกีตีกี-ไทย
li tula tuki Tuki Tiki - tuki Thai
*อาจมีการปรับปรุงแก้ไขตามสมควร

ตำราไวยกรณ์ตูกีตีกีอย่างเป็นทางการ โดย ka Tumu
*อาจมีการปรับปรุงในอนาคต


คู่มือตูกีตีกีอย่างย่อ โดย ka Tika


muti tuki tiki - บันเทิงไปกับภาษาตูกีตีกี




แถม
ตูกีตีกียังไม่ใช่ภาษาที่เล็กที่สุด ยังมีภาษาที่เล็กและศัพท์น้อยกว่านี้อีกนะครับ เช่น
  • Pu Lu โดย arpee (Justin Joy) มีศัพท์แค่ 18 คำ ซึ่งก็ได้แรงบันดาลใจจากภาษาโตกีโปนาเช่นกัน
  • Facilish โดย Jack Eisenmann มีศัพท์ 2 คำ
  • U ของ arseniiv มี 1 คำ
อ้างอิง