Sponsor

30 ตุลาคม 2565

บาดแผล ยาชา และการเยียวยา

Photo by Tara Winstead: https://www.pexels.com/photo/close-up-view-of-band-aids-on-blue-surface-7722865/

บาดแผลย่อมบอบบาง ไม่มีใครอยากถูกแตะต้อง แต่หากไม่สามารถแตะต้องมันได้ ก็ไม่อาจทายาปิดแผลได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแผลก็จะไม่หาย เราอาจจะพ่นยาชาตลอดเวลาให้ไม่รู้สึกเจ็บก็ได้ แต่ไม่รู้สึกเจ็บกับแผลหายดีแล้วนั้นต่างกันมาก หากแผลยังอยู่ มันจะลุกลามขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องในจิตใจก็ไม่ต่างกัน การเผชิญหน้าแล้วรับ(ได้ไม่ว่าจะ)ผิด(หรือถูก)ชอบ(หรือไม่ชอบ)กับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น มันก็คือการสัมผัสแผลเพื่อทายา แล้วแผลจะจางหายไป หากยังคงทำมึนชาไม่ยอมรับรู้ มันก็จะยังคงแอบซ่อนอยู่และกำเริบขึ้นมาในจิตใจอยู่เสมอ เรื่องราวของประเทศชาติก็ไม่ต่างกัน หากเรื่องมีที่บอบบางแตะต้องไม่ได้ เรื่องนั้นก็คือแผล และหากยังไม่ยอมให้สัมผัสเผื่อทายา เพื่อแก้ไข แม้จะพยายามปกปิดปิดบังเพียงใด มันก็จะยังคงตามหลอกหลอนตราบนานเท่านานเมื่อคุณทาแผลให้สุนัขแล้วมันแสบ จะมีบางตัวที่คิดว่าคุณกำลังทำร้ายมัน และพยายามจะกัดคุณ อย่าเป็นแบบสุนัข จงเป็นมนุษย์ ที่รู้ว่านี่คือการเยียวยา ไม่ใช่ทำร้าย

เมื่อแผลหายแล้วก็ไม่ต้องคอยพ่นยาชาอีกต่อไป จากนั้นจึงก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างอิสระ

26 ตุลาคม 2565

อินเตอร์เน็ต วิทยุคลื่นสั้น และคำเล่าลือ

Photo by Handmrts: t.ly/OJgG

วิทยุคลื่นสั้น(SW) เป็นการส่งวิทยุที่ไกลกว่า FM และ AM เพราะ SW สามารส่งได้ไกลข้ามโลก เป็นเสมือนอินเตอร์เน็ตทางคลื่นวิทยุในสมัยแรกเริ่มของการสื่อสารไร้สาย โดยเฉพาะในสมัยสงคราม ที่มีการปิดกั้นสื่อทุกช่องทาง ประชาชนที่อยากฟังสื่อนอกกระแสจะต้องแอบฟังวิทยุคลื่นสั้น ในยุคนั้นบางประเทศถึงกับตรวจค้นบ้าน ยึดและทำลายวิทยุ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้ฟังข่าวสารจากต่างประเทศ ให้ฟังแต่เสียงตามสายของรัฐเท่านั้น ทำให้การครอบครองวิทยุเป็นเรื่องผิดกฏหมาย แล้วกระจายข่าวให้กับประชาชนว่า "ข่าวที่ต่างจากของรัฐนั้นเป็นข่าวปลอมทั้งสิ้น" ข่าวนอกกระแสก็จะได้มาจากการเล่าลือปากต่อปากจากนักเดินทางเท่านั้น จะเห็นว่าการข่าวเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของผู้คน ทั้งยังส่งผลต่อขวัญกำลังใจ
การปิดกั้นหรือบิดเบือนข่าวสาร ถูกนำมาใช้เสมอ เพื่อควบคุมความคิดของผู้คนให้เป็นไปในทางที่พวกเขาต้องการ แม้ในยุคอินเตอร์เน็ตอย่างปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้ก็เพียงเปลี่ยนเวทีเท่านั้น แต่ไม่เคยหายไปไหน หากลองคิดดูจะเห็นว่า การปิดกั้นหรือบิดเบือนข่าวสาร มักไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของผู้คน แต่ทำเพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าข่าวนั้นจะอยู่ในสื่อรูปแบบใดก็ตาม
การใช้วิจารณญาณ และการรับฟังและเปรียบเทียบข่าวสารจากหลายแหล่ง ก็เป็นทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อสกัดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมา นั่นจึงทำให้รัฐบางแห่งในสมัยก่อนต้องทำลายวิทยุ หรือสมัยนี้คือปิดกั้นอินเตอร์เน็ต เพื่อปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้ฟังข้อมูลข่าวสารเพื่อใช้เปรียบเทียบได้เลย ในยุคอินเตอร์เน็ตนี้วิทยุคลื่นสั้น(SW)จึงอาจเป็นแหล่งข่าวสารสำรองหากอินเตอร์เน็ตถูกปิดกั้น(เหมือนข่าวจากนักเดินทางสมัยก่อน) แต่สุดท้ายตัวเราก็คือผู้ที่จะตัดสินใจเองว่าจะดำเนินการอะไรต่อและอย่างไรให้เป็นประโยชน์มากที่สุด บางครั้งอาจจะต้องเสี่ยง เพราะเราไม่มีทางรู้ข้อมูลที่สมบูรณ์ได้เลย

แต่อย่าลืมว่า ในสภาวะสงครามนั้น ความจริงจะถูกฆ่าก่อนเสมอ

24 ตุลาคม 2565

อิสระภาพที่แท้จริงนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ

Photo by Nita: https://www.pexels.com/photo/white-dandelion-flower-shallow-focus-photography-54300/

อิสระภาพที่แท้จริงนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ ผู้คนมักคิดว่า อิสระภาพจริงๆคือทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ นั่นไม่ใช่อิสระภาพ นั่นคือความมักง่าย หยางที่ไร้หยินย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน เพราะอิสระภาพแบบมักง่ายคือการโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น มันไม่ได้นำไปสู่ความสงบใจได้เลย มีแต่การข่มเหง ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นการเข้าใจผิดอย่างมากที่สุดของคำว่าอิสรภาพ
อิสระภาพที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ท่านมีอิสระที่จะแหกปากร้องคาราโอเกะตอนเที่ยงคืน แต่ท่านก็รู้ว่าผู้อื่นก็มีอิสระภาพที่จะนอนหลับอย่างสงบ ท่านเคารพอิสระภาพของผู้อื่น ทุกคนเคารพอิสระภาพของกันและกัน ท่านจึงเลือกที่จะไม่ทำ นี่คือความรับผิดชอบหนึ่งที่มาพร้อมกับอิสระภาพ เป็นความรับผิดชอบที่สร้างสังคมแห่งอิสระภาพ
อิสระภาพที่แท้จริงนั้น ท่านต้องรู้ตัวในทุกการกระทำ ทุกการพูด ทุกการคิด เมื่อผลลัพธ์เกิดขึ้นตามมาก็พร้อมรับการเรียนรู้ ไม่โยนความรับผิดชอบไปสู่ผู้อื่นและไม่โทษตัวเองด้วย แค่รับมาเรียนรู้ เท่านั้น ท่านจะไม่พูดว่า "ก็เพราะพ่อแม่เลี้ยงฉันมาแบบนี้ ก็เพราะโรงเรียนสอนฉันมาแบบนี้ฉัน ก็เพราะสังคมสอนฉันมาแบบนี้ ฉันจึงเป็นแบบนี้ และฉันจะทำแบบนี้ต่อไป ฉันจะไม่เปลี่ยน" นั่นคือการโยนความรับผิดชอบ "ฉันทำผิด แต่เพราะพ่อแม่ ไม่ใช่เพราะฉัน และฉันจะผิดต่อไป" นี่คือความเป็นทาส ไม่ใช่อิสระภาพ แต่เมื่อใดที่ท่านหันมารับรู้การกระทำทุกอย่างของตัวเอง เลือกด้วยตัวเอง "ฉันจะทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพราะถูกสั่ง แต่เพราะฉันคิดแล้วว่าฉันอยากจะทำ" "ฉันจะไม่ทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพราะต่อต้านคำสั่ง แต่เพราะฉันคิดแล้วว่าไม่ต้องการทำ" ตระหนักรู้ในทุกสิ่ง รับผิดชอบในทุกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำหรือไม่ทำ ยิ่งรับผิดชอบในชีวิตของตนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอิสระภาพมากเท่านั้น และในทางกลับกัน ยิ่งมีอิสระภาพมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น
ทุกคนอยากได้อิสระภาพแต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้องการมัน บางคนรู้สึกว่าความเป็นทาสสบายกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง มีคนอื่นออกคำสั่ง ฉันแค่ทำตาม ไม่ต้องคิด ถ้าผิด ก็ไปโทษคนที่สั่ง ไม่ต้องมาโทษฉัน โทษพระเจ้าสิที่สร้างฉันมาให้เป็นอย่างนี้ โยนความรับผิดชอบไปทั่ว มันสบายที่จะอยู่ในกรงที่มีคนหาอาหารมาให้ และมันยากที่จะเป็นนกที่โบยบินอย่างอิสระอยู่นอกกรงซึ่งต้องค่อยหาอาหารเอง รับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง

หากท่านต้องการอิสระภาพก็จงเป็นอิสระจากอดีต วัฒนธรรม สังคม การศึกษา ศาสนา ฯลฯ เอาสิ่งเหล่านี้กองไว้ข้างๆ เอาไว้เป็นข้อมูลหรือเครื่องมือเท่านั้น มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของท่าน จากนั้นให้ตระหนักรู้ในทุกสิ่งที่กระทำ จงเลือกด้วยตัวเองในทุกสิ่งที่จะกระทำ อย่างมีสติ
ด้วยเหตุนี้ อิสระภาพที่แท้จริงจึงมาพร้อมกับความรับผิดชอบ อิสระภาพที่ยิ่งใหญ่จะมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง

รับ(ได้ไม่ว่าจะ)ผิด(หรือถูก ไม่ว่าจะ)ชอบ(หรือไม่ชอบ)

ของแท้ย่อมเปลี่ยนแปลง มีแต่ของปลอมที่ไม่เปลี่ยนแปลง

Photo by Pixabay: https://www.pexels.com/photo/seashore-269583/

ทุกชีวิตมีการเติบโต เปลี่ยนแปลง เป็นความจริงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพราะสิ่งที่เป็นของจริงจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีแต่ของปลอมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดอกไม้จริงจะเปลี่ยนแปลง จะผลิดอก จะเหี่ยวเฉา ดอกไม้ปลอมจะไม่เปลี่ยนแปลง ความรักเองก็มีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนมักคิดว่า รักแท้ จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ ความรักที่เป็นของจริง เป็นของแท้ จะเปลี่ยนแปลง ความรักที่เป็นของปลอม จะเป็นแค่ความแสแสร้งเท่านั้นความรักอาจเริ่มจากความต้องการทางกายภาพ นั่นเป็นเป็นการใช้คำว่ารักในความหมายที่ตื้นที่สุด และมันก็จะหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับการตอบสนอง เพราะมันยังไม่ใช่ความรักที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ มันเป็นแค่คำกล่าวอ้าง แต่เมื่อได้เข้าสู่การเป็นความรักที่แท้จริงมันจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความรักภายในจิตใจ จากนั้นมันจะเปลี่ยนต่อไปกลายเป็นมิตรภาพ และมิตรภาพก็จะกลับกลายเป็นความรักอีกครั้ง และแปรเปลี่ยนเช่นนี้เรื่อยไป
คู่ครองที่ครองคู่ด้วยกันได้อย่างยาวนาน ความรักต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นมิตรภาพ เพราะความรักคือกระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์ สิ่งมีชีวิตคือกระบวนการที่สืบเนื่อง แปรเปลี่ยน วิวัฒนาการ

ของแท้จะเปลี่ยนแปลง มีแต่ของปลอม ของที่แสแสร้งเท่านั้น ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่คนที่ไม่เคยผิด แต่คือคนที่ผิดมาแล้วถูกรูปแบบ

Photo by Felix Mittermeier: https://www.pexels.com/photo/grayscale-photography-of-chessboard-game-957312/


แอดฯเคยได้ยินหลายคนที่มักคิดว่า คนเก่งจะไม่ทำอะไรผิดเลย แต่จริงๆแล้วก่อนคนนั้นจะเก่งระดับผู้เชี่ยวชาญ เขาทำผิดมาจนรู้ทุกกระบวนท่าแล้วต่างหาก
นักหมากรุกแชมป์โลกทุกคนเคยเล่นแพ้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะแต่เกิด แต่ก่อนจะถึงระดับแชมป์ก็ต้องเคยเล่นแพ้ แพ้มาทุกรูปแบบ แม้แต่อัจฉริยะยังต้องทุ่มเทเรียนรู้ แล้วคนธรรมดาอย่างเราๆจะไม่ยอมให้ผิดกันบ้างเลยหรอ?
ในกระบวนการเรียนรู้ หากไม่เปิดโอกาสให้ลองผิดลองถูก ความคิดที่ว่า "ผิดไม่ได้" จะไม่นำไปสู่อะไรใหม่ๆได้เลย และเป็นคุกของความคิดสร้างสรรค์

นักปฏิวัติและนักสรรค์สร้าง

https://www.behance.net/gallery/2202361/Sun-Pin-The-Art-of-War

นักปฏิวัติรู้จักเพียงการโค่นล้ม เพราะนั่นคือความถนัดของเขา แต่เมื่อเขาโค่นล่มได้แล้วขึ้นครองอำนาจ นั่นคือจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดงานของนักปฏิวัติคือการต่อสู้ ทำลายล้าง ฯลฯ อำนาจอยู่ในมือนักปฏิวัติเพราะเขาเป็นผู้ชนะ เขาย่อมได้อำนาจปกครองไว้ในมือ เมื่อชนะ (ถ้าเห็นว่าควรได้รางวัล)นักปฏิวัติอาจจะควรได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ อาจควรได้รับเหรียญตรา อาจควรได้รับรางวัลทุกอย่างจากผู้ที่ชื่นชมยกย่อง แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่ได้ควรได้รับ คือ อำนาจในการปกครอง เพราะเมื่อพวกเขาได้รับอำนาจแล้ว เขาก็จะทำสิ่งที่เขาถนัดต่อไปคือ ทำลายต่อไป ทำลายผู้ที่ต่อต้านพวกเขา เข่นฆ่าจับขังคนเห็นต่าง ฯลฯ อำนาจการปกครองควรอยู่ในมือผู้ที่มีความสามารถในการสรรค์สร้าง ทว่า นักสรรค์สร้างไม่เคยอยู่ในหมู่นักปฏิวัติ เขาถนัดการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทำลาย เขาถนัดการดูแล ไม่ใช่โค่นล้ม ฯลฯ แล้วเมื่อนักปฏิวัติสู้ชนะได้อำนาจมาแล้ว เขาจะไม่ยอมมอบอำนาจให้กับนักสรรค์สร้าง นักสรรค์สร้างอาจถูกมองว่าเป็นพวกเมินเฉย "พวกมันไม่ได้มาร่วมสู้กับเรา เราจะให้อำนาจพวกมันทำไม?"

นักปฏิวัติถนัดในการทำลายแต่ไม่ถนัดในการสร้าง นักสรรค์สร้างถนัดในการสร้างแต่ไม่ถนัดในการทำลาย คือบุ๋นและบู๊ มีอยู่คู่โลกเหมือนหยินและหยาง เมื่อหมดวาระของหยางก็ต้องส่งต่อให้หยิน ดั่งตะวันส่งต่อโลกให้จันทรา นี่คือสมดุล หากนักปฏิวัติ หลังปฏิวัติเสร็จสิ้น ยอมส่งมอบอำนาจให้นักสรรค์สร้าง นักปฏิวัติอาจถูกจารึกชื่อไว้ในฐานะวีรบุรุษ และประเทศก็เดินไปข้างหน้าได้ แต่หากนักปฏิวัติยังกำอำนาจอยู่ในมือต่อไป ปลายทางของประเทศก็คือความพังพินาศ ทุกการปฏิวัติในประวัติศาสตร์จึงจบลงที่ความล้มเหลวเสมอ วีรบุรุษจะกลายเป็นทรราชในท้ายที่สุดอย่างมิอาจเลี่ยงได้

08 ตุลาคม 2565

สมุนไพรแก้อาการหนังตากระตุก

หนังตากระตุก(Eyes Twitching) เป็นอาการที่หนังตา ไม่ว่าจะหนังตาบนหรือล่าง เกิดการเกร็งหดตัวเร็วๆอย่างผิดปกติ หากไม่บ่อยนักก็คงไม่เป็นไร แต่หากเกิดขึ้นบ่อยๆติดต่อกันหลายวัน วันละหลายครั้งก็อาจทำให้เกิดความรำคราญได้ โดยทั่วไปการเกิดหนังตากระตุกอาจจะเกิดจากการที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียดสะสม การใช้สายตามาก ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การสูบบุหรี่จัด ดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป ฯลฯ ซึ่งหากได้พักผ่อนและงดของแสลงก็อาจจะหายเองในเวลาไม่กี่วัน แต่หากหนังตายังคงกระตุกรัวๆติดต่อกันหลายสัปดาห์โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย ก็อาจต้องหาวิธีเยียวยา แม้อาการนี้จะไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่ก็ชวนหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อยเลย

ในทางการปรัชญชาจีนดวงตาเชื่อมต่อกับตับ การที่หนังตากระตุกอาจเกิดจากลมของตับขึ้น ลมพัด ใบไม้ไหว ที่ใดเคลื่อนไหว ที่นั่นมีลม ดังนั้น ในทางปรัชญาจีนจะเริ่มพิจารณาเรื่องหนังตากระตุกจากลมตับก่อน โดยพื้นฐานจะใช้สมุนไพรสงบลมตับ ผมจะแนะนำสมุนไพรพื้นๆที่หาได้ง่ายๆทั่วไปเพื่อให้เพื่อนๆได้ลองนำมารักษาตัวเองดูก่อนในเบื้องต้น โดยสูตรสมุนไพรรักษาอาการหนังตากระตุกมีดังนี้

สมุนไพรแก้อาการหนังตากระตุก
  • เก๊กฮวย 20 g
  • เก๋ากี๊ 10 g
  • ใบหม่อน 6 g
  • แห่โกวเฉา 4 g
วิธีการต้ม
นำสมุมไพรทั้งหมดมาล้าง เติมน้ำประมาณ 1-1.5 ลิตร แช่ให้นิ่มประมาณ 30 นาที จากนั้นขึ้นเตาตั้งไฟแรงจนเดือด แล้วปรับลดเป็นไฟอ่อน ต้มต่ออีก 30 นาที กรองแต่น้ำนำมาดื่มสำหรับ 1 วัน
และควรนอนหลับไม่เกิน 4 ทุ่ม และหากเป็นไปได้ให้งีบกลางวัน 20 นาที ในช่วงเวลาระหว่าง 11 am - 1 pm ถ้าไม่สะดวกงีบกลางวันให้นั่งหลับตาทำสมาธิสักครู่แทนได้

สูตรสมุนไพรชุดนี้เป็นชุดสำหรับดื่ม 1 วัน อาจดื่มต่างน้ำก็ได้ แนะนำให้ต้มดื่มอย่างน้อย 3-4 วัน ถ้าอาการดีขึ้น ให้ดื่มต่ออีกไม่เกิน 4 วันก็น่าจะหาย รวมแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ หากครบเวลาแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย อาจต้องไปพบแพทย์แผนจีนเพื่อฝังเข็ม หรือแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อหาแนวทางการรักษาทางเป็นทางการต่อไป

สูตรนี้ผมต้มให้คนที่บ้านดื่ม หลังจากที่มีอาการหนังตากระตุกเรื้อรังเป็นเดือนๆ คือกระตุกทั้งวัน เกือบตลอดเวลา วันละหลายร้อยครั้ง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ผมจึงค้นคว้าและคำนวณสูตรนี้ขึ้น โดยเน้นสมุนไพรที่หาง่าย และทุกคนก็ดื่มกันเป็นปกติอยู่แล้ว ใช้ได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ต้องตวงน้ำหนักให้เหมาะสมจึงจะเห็นผล ซึ่งคนที่บ้านดื่ม 4 วัน จากที่กระตุกวันละเป็นร้อยๆครั้ง ก็เหลือแค่วันละ 4-5 ครั้ง เมื่อดื่มต่อจนครบ 1 สัปดาห์ก็หาย ผมจึงขอนำสูตรนี้มาแจกเป็นวิทยาทานสำหรับท่านที่ทนทุกข์กับอาการหนังตากระตุกเรื้อรังจะได้หายดีเช่นเดียวกัน
สมุนไพรชุดนี้เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น เพื่อดับไฟตับขับลม ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการเย็นใน ใจสั่น ท้องอืด ฯลฯ ผู้ที่มีความดันต่ำ หรือโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
สามารถสั่งซื้อออนไลน์กับผมได้ที่เพจ Harirak Farm หรือที่ Shopee ชุดละ 40 บาท, 4 ชุด 150 บาท หรือจัดชุดสมุนไพรเหล่านี้ได้ตามร้านยาจีนใกล้บ้าน

หากใช้แล้วได้ผลโปรดแนะนำต่อ
เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมกัน
ขอให้ทุกท่านหายดีมีสุขภาพแข็งแรง
สวัสดีครับ