Sponsor

29 เมษายน 2568

Toki Pona - โตกีโปนา ภาษาประดิษฐ์ที่เรียบง่ายที่สุดในโลกสำหรับทุกคน

คำว่า toki pona เขียนด้วยตัวเขียน sitelen pona
หรืออักษรภาพหนึ่งของโตกีโปนา

สวัสดีครับ จากบทความเมื่อนานมาแล้วที่เคยแนะนำภาษาเอสเปรันโตซึ่งเป็นภาษาประดิษฐ์ (Conlang) เพื่อเป็นภาษาสากลของโลกไปแล้ว ในบทความนี้มาแนะนำภาษาประดิษฐ์อีกภาษาหนึ่งที่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในไทยมากนัก และเป็นภาษาประดิษฐ์ที่ถูกใช้เป็นภาษาสากลที่มีผู้ใช้มากเป็นอันดับสองของโลก งั้น มาเริ่มกันเลยครับ

Toki Pona อ่านว่า โตกีโปนา แปลว่า ภาษาที่ดี ประกอบมาจากสองคำในภาษาโตกีโปนา คือ Toki (คำพูด) Pona (ดี) เป็นภาษาประดิษฐ์ที่เรียบง่าย มีคำศัพท์น้อยมาก เริ่มต้นที่ 120 คำ และง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งประดิษฐ์โดยนักภาษาศาสตร์ชาวแคนาดา ซอนยา แลง (Sonja Lang) เมื่อปี 2001 โดยเธอได้รับแรงบรรดาลใจมาจากปรัชญาเต๋า โตกิโปนาจึงเรียบง่าย เป็นธรรมชาติอย่างเป็นองค์รวม และอยู่กับปัจจุบัน โดยเน้นคำศัพท์ความหมายรากฐานสากลที่น้อยแต่กินความกว้างนี้ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นภาษาเชิงปรัชญาอีกด้วย
โตกีโปนาถือเป็นภาษาประดิษฐ์แบบอาโปสเตริโอริ (a posteriori language ภาษาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยอิงจากภาษาที่มีอยู่แล้ว) ซึ่งมีองค์ประกอบส่วนใหญ่ของภาษาอังกฤษ, ภาษาตอกปีซิน, ภาษาฟินแลนด์, ภาษาจอร์เจีย, ภาษาดัตช์, ภาษาฝรั่งเศสแบบอคาเดียน, ภาษาเอสเปรันโต, ภาษาเซอร์โบ-โครเอเชีย ภาษาจีน และภาษาอื่นๆ อย่างละ 3-15% โดยประมาณ
ภาษาโตกีโปนานี้อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดแบบมินิมอลลิสต์ โดยมีคำศัพท์หลักเพียงประมาณ 120 คำ (ภายหลังเพิ่มมาอีกนิดหน่อย) ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับภาษาธรรมชาติส่วนใหญ่ เป้าหมายคือการสื่อสารความคิดด้วยคำศัพท์ที่เรียบง่าย โดยเน้นที่ความหมายรากฐานและคำเชิงบวกเป็นหลัก ลองจิตนาการถึงภาษาที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน ซึ่งเป็นภาษาที่ผู้รอดชีวิตจากการติดเกาะอาจจะใช้เพื่อสื่อสารกัน แน่นอนว่าภาษาที่เรียบง่ายเช่นนี้จะช่วยให้ผู้รอดชีวิตสามารถสื่อสารความต้องการขั้นพื้นฐานได้ง่าย นี่คือเวทมนต์ของภาษาที่เรียบง่าย เป็นภาพรวมแต่ชัดเจน
จากสมมติฐานเซเพียร์–วอร์ฟซึ่งบอกว่า ภาษาส่งผลต่อวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้พูด ภาษาโตกีโปนาได้รับการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ดี และเพื่อให้ผู้พูดตระหนักถึงบริบทและใส่ใจกับสิ่งรอบตัวในปัจจุบันรวมถึงคำต่างๆที่ใช้ โตกีโปนายังถูกใช้สำหรับการบำบัดในการขจัดความคิดเชิงลบโดยให้ผู้ป่วยติดตามความคิดของตนด้วยภาษาโตกีโปนาอีกด้วย

ภาษาโตกีโปนามีอักษรเพียง 14 ตัว ซึ่งออกแบบมาให้ออกเสียงได้ง่ายสำหรับผู้พูดจากทุกภาษา

sitelen Lasina
พยัญชนะของ Toki Pona

มีพยัญชนะ 9 ตัวโดยเทียบเสียงภาษาไทย คือ
  1. p = ป
  2. t = ต
  3. k = ก
  4. s = ซ
  5. m = ม
  6. n = น
  7. l = ล
  8. j = ย
  9. w = ว
มีสระ 5 ตัว เทียบกับสระภาษาไทยคือ
  1. a  = อา
  2. e = เอ
  3. i = อี
  4. o = โอ
  5. u = อู
ในการพูดจะเน้นที่พยางค์แรกของคำเสมอ อาจจะออกเสียงสั้นยาวสูงต่ำหรือติดสำเนียงท้องถิ่นได้ตามสมควร
ในการพิมพ์จะใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด ยกเว้นชื่อที่จะขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่
ในการสะกดคำก็ตรงไปตรงมา กำหนดมายังไงก็ว่ากันไปตามนั้นเลยครับเหมือนภาษาไทย

การเขียน
ตัวพิมพ์ (sitelen Lasina) ใช้ตัวอักษรโรมัน ตามที่แนะนำไว้ข้างต้น ปกติจะใช้แบบนี้เป็นหลัก
ตัวเขียน (sitelen pona) เป็นอักษรภาพที่เขียนเป็นสัญลักษณ์แทนคำ ลักษณะคล้ายอักษรของอินเดียนแดง ซึ่งหนึ่งตัวเขียนก็เป็นหนึ่งความหมาย (เหมือนอักษรจีนหรือตัวคันจิ) (ฟ้อนต์ตัวเขียนมาตราฐาน แนะนำ nasin-nanpa-4.0.2.otf ขึ้นไป เวลาพิมพ์เมื่อใช้ pi ต้องการขีดเส้นใต้ให้ใส่วงเล็บ เมื่อเขียนชื่อให้ใส่วงเล็บเหลี่ยมจะเป็นวงรอบชื่อ หากต้องการรวมคำขยายในตัวเขียนเดียวให้กด + แล้วพิมพ์ เอาออกกด - แล้วลบ)
ตัวจารึก (sitelen sitelen) เป็นอักษรภาพวิจิตร หนึ่งตัวจารึกเป็นหนึ่งความหมายเหมือนกัน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเขียนอักษรภาพแบบวิจิตร

(ดูจนานุกรมโตกีโปนาท้ายบทความ)

วิธีเขียนตัวเขียนหรือตัวจารึกก็สามารถเขียนเรียงต่อกันได้ตามปกติ แต่พิเศษกว่าตรงที่จะเขียนคำคุณศัพท์(adj)หรือคำวิเศษ(adv)เอาไว้ในหรือบนคำนั้นๆก็ได้

ตัวเขียน
sitelen pona
ตัวจารึก
sitelen sitelen

การตีความ
โตกีโปนาใช้คำน้อยแต่กินความมาก ไม่อาจแปลเป็นคำต่อคำได้ จะต้องทำความเข้าใจโดยการตีความจากนัยยะโดยรวมของคำ เครื่องหมายวรรคตอน และบริบท
mi moku. = ฉันกิน/ฉันกำลังกิน/ฉันจะกิน/ฉันกินแล้ว

แต่ละคำมีหลายความหมาย
soweli = สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบก, แมว, หมา
kili = ผลไม้, ผัก

ทุกคำสามารถเป็นคำนาม, คำกริยา, คำคุณศัพท์(adj), หรือคำวิเศษ(adv) ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของคำในประโยค
telo = น้ำ, ล้าง, เปียก
pona = ความดี, ทำให้ดีขึ้น, ดี
suli = ความใหญ่, ทำให้ใหญ่ขึ้น, ใหญ่

ประโยคพื้นฐาน
li ใช้ขั้นระหว่างประธานกับภาคแสดง เป็นการบ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง เป็นการอธิบายลักษณะของประธานว่า เป็นหรือทำอะไร ขึ้นอยู่กับบริบท
ni li kala. = นี่+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+เป็นปลา = นี่คือปลา = นี่ปลา
kili li moku. = ผลไม้+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+เป็นอาหาร = ผลไม้เป็นอาหาร
telo li pona. = น้ำ+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+ดี = น้ำนั้นดี (น้ำสะอาด)

ภาคแสดงก็อาจเป็นการบอกว่าทำอะไร ขึ้นอยู่กับบริบท
soweli li moku. = สัตว์+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+กิน = สัตว์กิน
jan li lape. = คน+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+นอน = คนนอน

ถ้าประธานเป็น mi (ฉัน) หรือ sina (คุณ) ไม่ต้องใช้ li
mi moku. = ฉันกิน
sina pona. = คุณดี

คำขยาย
ต่อท้ายคำนามได้เลยเหมือนในภาษาไทย เป็นคำผสม เหมือนการสร้างคำนามใหม่ หรือคำนามวลีที่เฉพาะเจาะจง
jan lili. = คน+เล็ก = คนเล็ก = เด็ก
tomo mi. = บ้าน+ฉัน = บ้านฉัน = บ้านของฉัน
pona waso. = ดี+นก = ความดีของนก
waso pona. = นก+ดี = นกดี
suli waso. = ใหญ่+นก = ความใหญ่ของนก
waso suli. = นก+ใหญ่ = นกใหญ่
pilin pona. = อารมณ์+ดี = อารมณ์ดี

การปฏิเสธใช้คำว่า ala ต่อท้ายคำที่ต้องการปฏิเสธ
mi lape ala. = ฉัน+นอน+ไม่ = ฉันหานอนไม่ = ฉันไม่นอน/ฉันไม่ได้นอน
jan ala li toki. = คน+ไม่+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+พูด = ไม่มีคนพูด
mi ala. = ฉัน+ไม่ = ฉันไม่ใช่ = ไม่ใช่ฉัน
mi ala pali. = ฉัน+ไม่+ทำ = ไม่ใช่ฉันทำ
mi pali ala. = ฉัน+ทำ+ไม่ = ฉันไม่ทำ
mi wile ala tawa musi = ฉัน+ต้องการ+ไม่+ไป+เต้นรำ = ฉันไม่ต้องการไปเต้นรำ

การขยายเพิ่มจะขยายคำก่อนๆหน้าเสมอ
lipu kasi tu. = หนังสือ+พืช+สอง = หนังสือพันธุ์พืชสองเล่ม/แผ่น
tomo telo nasa. = ห้อง+น้ำ+ประหลาด = ห้องน้ำแปลกๆ

คำขยายเป็นเสมือนการสร้างคำใหม่ อาจต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสื่อถึงสิ่งที่ต้องการอย่างอิสระด้วยสำนวนของตัวเอง ตัวอย่างเช่น
soweli tomo. = สัตว์+บ้าน = สัตว์เลี้ยง
jan lili. = คน+เล็ก = คนเล็ก = เด็ก

อย่าสับสนกับ li ที่ใช้บ่งชี้ถึงภาคแสดงที่บ่งบอกลักษณะของประธาน
jan li lili. = คน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = คนที่ตัวเล็ก
jan lili li lili. = คน+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = เด็กที่ตัวเล็ก
jan lili meli. = คน+เล็ก+เพศหญิง = เด็กผู้หญิง
jan lili meli li lili. = เด็กผู้หญิงตัวเล็ก

คั่นคำขยายต่างๆเพื่อแบ่งขอบเขตการขยายความได้ด้วย pi อาจแปลคร่าวๆได้ว่า 'แห่ง' คำขยายก็จะขยายเฉพาะคำหลักของมันเอง ไม่เกี่ยวกับคำที่อยู่หน้า pi อีกต่อไป
lipu pi kasi tu. = หนังสือ+แห่ง+พืช+สอง = หนังสือแห่งพืชสองชนิด (พืช+สอง จะขยายกันเอง ไม่เกี่ยวกับหนังสือ เพราะคั้นด้วย pi เอาไว้แล้ว)
tomo pi telo nasa. = ห้อง+แห่ง+น้ำ+เมา = ห้องแห่งเหล้า = บาร์

บ่งชี้สิ่งที่ถูกกระทำ
e ใช้เป็นคำเชื่อมคำกริยากับกรรมตรง บ่งชี้ว่าคำที่อยู่หน้า e จะเป็นกริยาและคำที่ถัดจาก e ไปเป็นสิ่งถูกกริยานั้นกระทำ
soweli li moku e telo. = สัตว์+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้ว่าต่อไปเป็นกรรม)+น้ำ = สัตว์กินน้ำ
mi telo e soweli. = ฉัน+ล้าง+(บ่งชี้ว่าต่อไปเป็นกรรม)+สัตว์ = ฉันอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยง
sina pona e ilo. = คุณ+ทำให้ดีขึ้น+(บ่งชี้ว่าต่อไปเป็นกรรม)+เครื่องมือ = เขาทำให้ดีขึ้น(ซึ่งกระทำกับ)เครื่องมือ = เขาซ่อมเครื่องมือ

คำบุพบท
kepeken (ใช้), lon (ที่), sama (เหมือน), tan (จาก), และ tawa (ไป) สามารถใช้เป็นคำบุพบทได้โดยไม่ต้องใส่ e
mi moku kepeken ilo. = ฉัน+กิน+โดยใช้+อุปกรณ์ = ฉันกินอาหารโดยใช้อุปกรณ์การกิน(ช้อนส้อม)
soweli li lon tomo. = สัตว์+อยู่+ที่+บ้าน = สัตว์อยู่ที่บ้าน
sina toki sama kala! = คุณ+พูด+เหมือน+ปลา = คุณพูดเหมือนปลา!
mi kama tan esun. = ฉัน+มา+จาก+ร้านค้า = ฉันมาจากร้านค้า
ona li toki e ni tawa sina. = เขา+(บ่งชี้ภาคแสดง)+พูด+(บ่งชี้ว่ามีสิ่งถูกกระทำ)+นี่+สู่+คุณ = เขาพูดแบบนี้กับคุณ

คำเชื่อม
สำหรับรวมหลายสิ่งเข้าด้วยกันใช้ en แปลว่า 'และ'
mi en sina li musi mute. = ฉัน+และ+คุณ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล่น+มาก = ฉันและคุณเล่นเยอะมาก

สำหรับภาคแสดง ให้ใช้ li ซ้ำ
soweli ni li lili li suwi. = สัตว์+นี้+เป็น+ที่เล็ก+ที่น่ารัก = สัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์ที่ตัวเล็กและน่ารัก

สำหรับกรรมตรง ให้ใช้ e ซ้ำ
ona li jo e waso e kala. = เขา+(บ่งชี้ภาคแสดง)+มี+(บ่งชี้ว่ามีสิ่งถูกกระทำ)+นก+(บ่งชี้ว่ามีสิ่งถูกกระทำ)+ปลา = เขามีนกและปลา

สำหรับบุพบท ให้ซ้ำบุพบท
mi pali e tomo kepenken palisa kepeken kiwen. = ฉัน+ทำ+(บ่งชี้สิ่งถูกกระทำ)+บ้าน+โดยใช้+ท่อนไม้+โดยใช้+หิน = ฉันสร้างบ้านโดยใช้ไม้โดยใช้หิน = ฉันสร้างบ้านโดยใช้ไม้และหิน

anu แปลว่า 'หรือ'
ni li pona anu ike? = นี่+คือ+ดี+หรือ+แย่ = นี่คือดีหรือแย่?
mi anu sina li tawa esun. = ฉัน+หรือ+เธอ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ไป+ร้านค้า = ฉันหรือเธอไปร้านค้า
sina jo e kili anu telo? = คุณ+มี+(บ่งชี้กรรม)+ผลไม้+หรือ+น้ำ = คุณมีผลไม้หรือน้ำ?

การระบุชื่อ
ชื่อจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้น โดยให้ใส่คำนำหน้าที่บ่งบอกถึงสิ่งนั้น
jan Sonja = คน+ซอนย่า = คนชื่อซอนย่า = คุณซอนย่า (ชื่อคน ให้ใส่ jan ที่แปลว่า 'คน' ไว้ข้างหน้าชื่อ)
toki Toki Pona = ภาษา+โตกีโปนา = ภาษาโตกีโปนา (ชื่อภาษา ให้ใส่ toki ที่แปลว่า 'ภาษา' ไว้ข้าหน้าชื่อ)
ma Mali = ประเทศ+มาลี = ประเทศมาลี (ชื่อประเทศ ให้ใส่ ma ที่แปลว่า 'ประเทศ' ไว้ข้างหน้าชื่อ)

ฉากเปิดเรื่องของนวนิยาย
สิทธารถะ โดย แฮร์มันน์ เฮสเส
แปลเป็น toki pona โดย jan Kala
ตัวเขียน sitelen pona โดย jan Majeka

หากใช้เป็นตัวเขียน หรือตัวจารึก ในการเขียนชื่อ ก็ใช้คำนำหน้าด้วยเช่นกันแล้วตามด้วยชื่อ โดยส่วนชื่อจะใช้ตัวเขียนตัวใดก็ได้ โดยถือเอาเฉพาะตัวอักษรตัวแรกของคำอ่าน(ตัวพิพม์)ของตัวเขียนนั้นแทนตัวอักษร แล้วนำมาเรียงต่อกัน และเมื่อระบุชื่อเสร็จแล้วให้วงรอบชื่อเพื่อระบุว่าเป็นส่วนของชื่อ หากกล่าวถึงชื่อเดิมอีกครั้งในเอกสารเดียวกัน ส่วนชื่ออาจใช้แค่ตัวเขียนตัวแรกแทนการเขียนชื่อเต็มทั้งหมด

ในการเขียนชื่อนั้น ถ้าเอาจริงๆตามหลักโตกีโปนา จะต้องใช้เฉพาะตัวอักษรในภาษาโตกีโปนาเท่านั้น และใช้วิธีการสะกดคำให้เสียงใกล้เคียงที่สุด โดยมีหลักคิดอยู่ เช่น ชื่อประเทศจะต้องสะกดด้วยระบบเสียงของโตกีโปนาตามคำเรียกตัวเองของคนประเทศนั้น เป็นต้น ตรงนี้ต้องไปศึกษาเชิงลึกเรื่องการสะกดคำเพิ่มเติมภายหลัง แต่ถ้าใช้แบบง่ายๆ เบื้องต้นก็อาจใช้การพิมพ์แบบภาษาอังกฤษไปตามปกติก่อนก็ได้ครับ

การออกคำสั่ง
ใช้ o ก่อนคำกริยาเพื่อทำให้เป็นคำสั่ง แปลคร่าวๆได้ว่า 'จง' หรือ 'โปรด'
o kute! = จงฟัง!
o pali! = จงทำ!

ใช้ o หลังประธานได้โดยเป็นการเรียกขาน แปลคร่าวๆได้ว่า 'โอ้, เฮ้'
jan Pape o! = ปาเป โอ้! = ปาเป เฮ้! = เฮ้ ปาเป

ใช้ o ระหว่างคำนามและภาคแสดงเพื่อแสดงออกถึงความหวัง ความปราถนา เป็นกึ่งๆคำสั่ง กึ่งๆการสวดอ้อนวอน
pona o tawa sina. = ความดี+โอ+ไปสู่+คุณ = ความดีจงไปสู่คุณ = ขอให้สิ่งดีๆไปสู่คุณ
mi o pali. = ฉัน+โอ+ทำ = ฉันควรทำงานได้แล้วสินะ
soweli To o moku. = สัตว์+ชื่อโต+โอ+กิน = เจ้าโตกินสิ

คำอุทาน
ใช้ a (อา) เป็นคำอุทานต่างๆ
wawa a! = เข้มข้นอ่ะ!
toki a. = สวัสดีจ้า
pona a. = ขอบคุณนะ
lon a! = จริงเลย!/ถูกต้องเลย!
moku pona a! = อาหารดีอ่า!

การคำถาม
สำหรับคำถามปลายปิดสำหรับตอบว่า ใช้หรือไม่ จะใช้คำถามแบบ 'คำกริยา ala คำกริยา'
sina moku alal moku? = คุณ+กิน+ไม่+กิน = คุณกินไม่กิน? = คุณกินหรือไม่กิน? = คุณกินมั้ย?

ตอบใช่ ด้วยการทวนคำกริยานั้น
moku = กิน

ตอบไม่ ด้วยการใช้ 'คำกริยานั้น ala' หรือ ala
moku ala = กิน+ไม่ = หาได้กินไม่ = ไม่กิน
ala = ไม่

สำหรับคำถามปลายเปิด ใช้คำว่า seme (อะไร, ไหน)
kala anu seme li lon poki? = ปลา+หรือ+อะไร+อยู่+ใน+กล่อง =ปลาหรือตัวอะไรอยู่ในกล่อง?
jan seme li toki? = คน+อะไร+(บ่งชี้กริยา)+พูด = คนไหนพูด?/ใครพูด?
sina pali e seme? = คุณ+ทำ+(บ่งชี้กรรม)+อะไร = คุณกำลังทำอะไร?
seme li lon tomo mi? = อะไร+อยู่+ที่+บ้าน+ฉัน = อะไรอยู่ที่บ้านของฉัน?
ma seme li pona tawa sina? = แผ่นดิน+อะไร+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ดี+สำหรับ+คุณ = ประเทศอะไรที่ดีสำหรับคุณ? = คุณชอบประเทศอะไร?
sina jo e kili aue seme? = คุณ+มี(บ่งชี้กรรม)+ผลไม้+หรือ+อะไร = คุณมีผลไม้หรืออะไรอื่น?

คำกริยาซ้อนกริยา (Preverbs)
เป็นเหมือนการขยายคำกริยา จะเป็นคำกริยาที่อยู่ก่อนหน้าคำกริยา จริงๆก็เหมือนแปลตรงตัวจากซ้ายไปขวาในไวยกรณ์ภาษาไทยอยู่แล้ว ไม่เป็นปัญหาในการทำความเข้าใจของคนไทย แต่มาดูตัวอย่างกันสักหน่อยก็แล้วกันครับ
mi kama sona. = ฉัน+มา+รู้ = ฉันมาเรียนรู้
waso lili li wile suli. = นก+ตัวเล็ก+(บ่งชี้คำกริยา)+อยาก+โต = นกตัวเล็กอยากตัวโต

wile (อยาก), kama (มา), sona (รู้), lukin (ดู), ken (สามารถ), awen (รอคอย), และบางครั้ง alasa (ค้นหา) ใช้เป็นคำกริยาซ้อนกับคำกริยาได้

บริบท
la ใช้เชื่อมบริบทของประโยค แปลคร่าวๆว่า 'ก็', 'จึง', 'ย่อม'
sina lon poka mi la mi pilin pona = คุณ+อยู่+ข้าง+ฉัน+ก็+ฉัน+รู้สึก+ดี = คุณอยู่ข้างๆฉันก็ทำให้ฉันรู้สึกดี
sina seli tan seme? tan seme la sina seli? = คุณร้อนจากอะไร? จากอะไรจึงทำให้คุณร้อน? = ทำไมคุณถึงร้อน?
mi lape lon tenpo pimeja. tenpo pimeja la mi lape. = ฉันนอนในเวลามืด(กลางคืน). เวลามืดก็ฉันนอน.

"เวลากลางคืน" คือ บริบท "ฉันนอน" คือ ประธานที่มีคำขยายมาด้วย จึงใช้ la คั่นระหว่างบริบทกับประธานนั่นเอง

ระบบตัวเลข
wan = 1, tu = 2, luka = 5, mute = 20, ale = 100

ในภาษาโตกีโปนาไม่ได้มีระบบตัวเลขแบบทั่วไปเนื่องจากเป็นภาษาที่อยู่บนหลักความเรียบง่ายจึงเน้นที่ภาพกว้าง เลขที่มากกว่าที่มีข้างต้น จะใช้การบวกรวมตัวเลขเข้าด้วยกัน โดยจะใช้จำนวนใหญ่ขึ้นก่อน

tu tu = 2+2 = 4
luka tu wan = 5+2+1 = 8

ถ้าเลขใหญ่มากๆจะใช้ระบบคูณ จำนวนเล็กอยู่หน้าจะใช้เป็นตัวคูณ
mute ale wan = 20*100+1 = 2001

nanpa ใช้บ่งชี้ลำดับที่
jan nanpa wan li pona = คนลำดับที่หนึ่งเป็นคนดี
ni li nasin nanpa mute tu wan = นั่นคือถนนที่ 23
sike nanpa mute ale wan = ปีที่ 2001

ถ้าจะเอากันจริงๆตามภาษาโตกีโปนาก็ต้องใช้ระบบตัวเลขแบบโตกีโปนาครับ จะมีความคล้ายเลขโรมันอยู่ แต่ว่าเรื่องตัวเลขเนี่ย ถ้าเอาง่ายๆก็ใช้ตัวเลขปกติไปเลยก็คงไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้เคร่งครัดมากนัก

สี
สีมีเพียง 5 สีพื้นฐาน คือ jelo (เหลือง), laso (เขียว, น้ำเงิน), loje (แดง), pimeja (ดำ), และ walo (ขาว) เป็นสิ่งที่ไม่ต้องเจาะจงมากนักสำหรับภาษาโตกีโปนา ซึ่งสีเขียว, สีฟ้า, สีน้ำเงิน สามสีเจ้าปัญหาของทุกภาษา และใช่แล้ว ในภาษาโตกีโปนาซึ่งเป็นภาษาองค์รวม ก็ใช้คำเดียวกัน laso (สีเขียว) เหมือนที่ภาษาไทยเรียก พิมพ์เขียวแต่เป็นกระดาษสีน้ำเงินนั่นแหละครับ อิอิ
ส่วนการพูดถึงสีอื่นก็เป็นไปได้ด้วยการเอาสีพื้นฐานมารวมกัน
poki laso pimeja = กล่อง+สีเขียว+สีดำ = กล่องสีเขียวอมดำ
laso loje = น้ำเงิน+แดง = น้ำเงินอมแดง = สีม่วงโทนเย็น
loje laso = แดง+น้ำเงิน = แดงอมน้ำเงิน = สีม่วงโทนร้อน

เกี่ยวกับช่วงเวลา
สำหรับการพูดถึงเรื่องในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต จะใช้วลีนำหน้าเหล่านี้ครับ
tenpo pini la ... = เวลา+จบ+ก็... = เวลาที่จบไปแล้วก็... = ตอนนั้นก็... (พูดถึงอดีต)
tenpo ni la ... = เวลา+นี้+ก็... = เวลานี้ก็... = ตอนนี้... (พูดถึงปัจจุบัน)
tempo kama la ... = เวลา+มา+ก็... = เวลาที่จะมาถึงก็... = ตอนหน้าก็...) (พูดถึงอนาคต)

tenpo pini la ona li moku pan mute. = เมื่อก่อนเขากินขนมปังมาก
tenpo ni la mi lon tomo mi. = ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านของฉัน
tenpo kama la mi wile tawa ma sina = ในอนาคตฉันต้องการไปประเทศของคุณ

การระบุเพศ
เป็นคำคุณศัพท์(adj) คือ mije (ชาย), meli (หญิง), tonsi (ข้ามเพศ)

การเปรียบเทียบ
ภาษาโตกีโปนาไม่มีโครงสร้างเฉพาะเจาะจงในการเปรียบเทียบ แต่สามารถประยุกต์ได้หลายวิธี เช่น
kili li moku pona. pipi li moku ike. = ผลไม้เป็นอาหารที่ดี แมลงเป็นอาหารที่ไม่ดี = ผลไม้อร่อยกว่าแมลง
poki mi li suli tawa poki sina. = กระเป๋า+ของฉัน+(บ่งชี้ภาพแสดง)+ใหญ่+ไปสู่+กระเป๋า+ของคุณ = กระเป๋าของฉันใหญ่กว่ากระเป๋าของคุณ
poki mi li suli lon poka pi poki sina. = กระเป๋า+ของฉัน+(บ่งชี้ภาพแสดง)+ใหญ่+ที่+ข้าง+ของ+กระเป๋า+ของคุณ = กระเป๋าของฉันใหญ่อยู่ที่ข้างของกระเป๋าของคุณ = กระเป๋าของฉันใหญ่กว่ากระเป๋าของคุณ

ไม่มีอะไรตายตัวซะทีเดียว ภาษาโตกีโปนาเปิดให้สร้างสรรค์ได้อย่างอิสระในแบบของตัวเอง

เก็บตกประโยคตัวอย่างที่น่าสนใจ
suno li lon sewi = ตะวัน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ที่+เบื้องบน = ดวงอาทิตย์อยู่บนฟ้า
mi kepeken e poki = ฉัน+ใช้+(บ่งชี้กรรม)+ภาชนะ = ฉันใช้ภาชนะ
mi tawa e kiwen = ฉัน+เคลื่อน+(บ่งชี้กรรม)+หิน = ฉันขยับหิน
ona li kama tawa tomo mi = เขา+(บ่งชี้ภาคแสดง)+มา+สู่+บ้าน+ฉัน = เขามาสู่บ้านของฉัน

คำที่ต้องรู้
mi olin e sina = ฉัน+รัก+(บ่งชี้)+คุณ = ฉันรักคุณ

เอ้าได้เวลาไปบอกรักแล้วล่ะครับ!
o toki olin tawa jan olin sina!

โดยรวมแล้วภาษาโตกีโปนามีไวยกรณ์และการเรียงคำคล้ายภาษาไทย และให้มีอิสระที่จะผสมคำเพื่อสื่อถึงสิ่งใหม่ได้ตามแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน เหล่านี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น คนไทยจึงน่าจะเรียนรู้และใช้ภาษาโตกีโปนานี้ได้ไม่ยากเลยครับ

โตกีโปนาเบื้องต้นก็ประมาณนี้ครับ
ผิดพลาดประการใดต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ


ดังนั้น การเข้ารหัสเชิงวิเคราะห์ (analytic encoding), ดังปรากฏในภาษา Toki Pona คืออิสรภาพ (freedom) โดยปราศจากซึ่งนัยยะแฝงใดๆเกี่ยวกับภาษา Toki Pona ซึ่งข้าพเจ้ายืนยันได้ [...] นั่นคือการกระทำที่นำมาซึ่งการปลดปล่อย (liberating act) อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงเชื่อมั่นว่าภาษา Toki Pona เป็นอุดมการณ์แห่งการปลดปล่อย (liberating ideology) ประการหนึ่ง
-นักภาษาศาสตร์ ดร. ลอรา ไมเคิลลิส (linguist Dr. Laura Michaelis)

โตกีโปนามีคำน้อยและแต่ละคำนั้นก็กินความกว้างมาก เพราะเป็นคำเชิงรากฐาน ความหมายเฉพาะหน้าจึงขึ้นอยู่กับบริบทที่กำลังสนทนา ซึ่งอาจเกิดความคลุมเครือพอสมควร จึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และบริบทเข้าช่วยในการทำความเข้าใจ รวมถึงคำศัพท์มีจำกัดทำให้การอธิบายถึงสิ่งที่ซับซ้อนอาจอ้อมค้อมพอสมควร แต่ก็อาจช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงแก่นความต้องการของตัวเองได้อย่างแจ่มชัดเช่นกันว่า จริงๆแล้วเราต้องพูดซับซ้อนขนาดนั้นเลยหรือ? หลายครั้งแค่ใช้คำอันเป็นแก่นแท้ของความหมายด้วยคำรากฐานก็อาจเพียงพอแล้ว การลดรูปคำพูดลงอาจทำให้เข้าใจถึงความคิดที่แท้จริงได้ของตัวเองได้
เอาจริงๆประเด็นเหล่านี้บางทีก็ชวนให้ผมนึกถึงภาษาจีนโบราณเหมือนกัน มีความคล้ายกับโตกีโปนาอยู่พอสมควรเลยทีเดียวในเรื่องที่ใช้คำสั้นกระชับแต่กินความมาก และเวลาอ่านหรือเวลาแปลก็ต้องตีความหลายตลบเลยทีเดียว ซึ่งภาษาจีนโบราณนั้นออกแบบมาสำหรับการอ่านเขียน(เป็นภาษาวรรณกรรม)โดยเฉพาะอยู่แล้ว ผมจึงเห็นว่าโตกีโปนาก็อาจเหมาะกับการอ่านเขียนมากที่สุด เพราะมีเวลาให้คิดและตีความ แต่ถึงอย่างนั้นโตกีโปนาเองก็ออกแบบมาสำหรับทั้งการฟังพูดอ่านเขียนครบถ้วนเลย ดังนั้นก็นับว่าน่าสนุกที่จะลองนำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน
ซึ่งหลังจากผู้ประดิษฐ์คิดค้นภาษานี้และร่วมปรับปรุงการใช้กับชุมชนได้สักพักก็ออกหนังสือชื่อว่า Toki Pona: The Language of Good (lipu pu) เป็นหนังสือแนะนำการใช้ภาษาโตกีโปนาอย่างเป็นทางการ (อุดหนุนเธอได้ครับ แนะนำว่าควรอ่าน) ซึ่งในหนังสือได้ออกแบบมาครบถ้วนมากเลยทีเดียว มีทั้งการใช้ภาษาเขียนภาษาพูด ซึ่งก็คือการเขียนคำอ่านด้วยตัวอักษรโรมันที่เราได้คุยกันไปแล้วข้างต้น และมีอักษรภาพแบบตัวเขียน (sitelen pona) ซึ่งคล้ายๆภาษาอินเดียนแดง เอาไว้เขียนเป็นสัญลักษณ์สำหรับสื่อสารได้ด้วย ยังมีตัวจารึก (sitelen sitelen) ซึ่งเป็นอักษรภาพเชิงวิจิตร และมีการใช้ในภาษามือโตกีโปนาอีกด้วย (รู้สึกว่าภาษามือในหนังสือซึ่งเรียกว่า toki pona luka ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว แต่หันมาใช้ luka pona แทน ซึ่งเกิดจากการพัฒนาร่วมกันโดย jan Olipija ซึ่ง jan Sonja ผู้สร้างภาษา Toki Pona ก็ให้การสนับสนุน) แล้วไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีคนคิดค้นวิธีการใช้อีโมจิเป็นภาษาโตกีโปนา (sitelen Emoji) อีกต่างหาก
และจากนั้นหลังจากที่ได้พัฒนาร่วมกับชุมชนเธอก็ได้ออกพจนานุกรม Toki Pona Dictionary (lipu ku) ตามมา ก็รวมศัพท์และนามวลีกว่า 11,000 คำ เพื่อให้เป็นแนวทางในการนำใช้งาน และเป็นแนวทางในการผสมคำเพื่อสร้างคำนามวลีที่เจาะจงยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นเพียงแนวทางไม่ใช่ข้อบังคับที่ตายตัว เพราะผู้ใช้โตกีโปนาสามารถผสมเพื่อสื่อถึงสิ่งที่ต้องการเองได้ตามความคิดสร้างสรรค์ด้วยสำนวนของตัวเองและมุมมองส่วนบุคคลได้อย่างอิสระ
และจากนั้นก็ได้ออกหนังสือนวนิยายที่เขียนด้วยภาษาโตกีโปนาตัวเขียน (sitelen pona) (lipu su) ออกมาอยู่เรื่อยๆ
สามารถอุดหนุนผลงานต่างๆของ Sonja ได้ที่ https://tokipona.org/

“[โทกิโปนา] เป็นภาษาที่กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง”
-เอเลน โกลด์ (Elaine Gold)
ผู้อำนวยการบริหารของพิพิธภัณฑ์ภาษาแคนาดา

หากเพื่อนๆสนใจก็ลองศึกษาเพิ่มเติมและลองใช้กันดูนะครับ แม้โตกีโปนาจะไม่ได้ตั้งใจประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาษาสากลของโลกเหมือนอย่างเอสเปรันโต แต่มันก็ถูกใช้เป็นภาษาช่วยสื่อสารจนกึ่งๆจะเป็นภาษาสากลไปแล้วเหมือนกัน และได้ยินมาว่า โตกีโปนาเป็นภาษาประดิษฐ์ที่นิยมมากเป็นอันดับสองรองจากเอสเปรันโตเท่านั้น และได้รับการรับรอง ISO 639-3 tok อย่างเป็นทางการอีกด้วย โตกีโปนากำลังเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆจากวัยรุ่นอีกด้วยล่ะ ทางผู้ประดิษฐ์ภาษาโตกีโปนาก็ได้ทำกลุ่ม FB เอาไว้ให้ให้พูดคุยกันด้วย ลองเข้ากลุ่มดูได้ครับที่ https://www.facebook.com/groups/sitelen/ และชุมชนได้สร้างเว็บเรียนโตกีโปนาขึ้นที่ https://wasona.com/https://lipu-sona.pona.la/ และแหล่งเรียนรู้อื่นๆ

ขอให้สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆครับทุกท่าน

พจนานุกรม โตกีโปนา-ไทย
ni li lipu toki Toki Pona - toki Thai
*อาจมีการปรับปรุงแก้ไขตามสมควร
*คำที่ ไม่เป็นมาตราฐาน คือคำที่เลิกใช้แล้ว

แถม

หนังสือสำหรับฝึกอ่านภาษาโตกีโปนา
เรื่องสนุกๆสั้นๆ โดย Lakuse นี่สำหรับผู้เริ่มต้นภาษา Toki Pona!

เรื่องสั้น 27 บทกวีในภาษา Toki Pona

akesi seli lili (สัตว์เลื้อยคลาน+ที่ร้อน+ที่เด็ก) เจ้ามังกรน้อย

meli olin moli (ผู้หญิงที่รักความตาย)

ยังมีนิตยสาร Lipu Tenpo (หนังสือกาลเวลา) ภาษาโตกีโปนาที่น่าสนใจ อ่านฟรีได้ที่ https://liputenpo.org/
และเลือกอ่านงานเขียนภาษาโตกีโปนาอีกมากมายได้ที่ (บางผลงานเป็นงานประกวดด้วย) https://sona.pona.la/wiki/Literature
และห้องสมุด Toki Pona https://lipu.pona.la/

ถ้ารู้สึกว่าโตกีโปนายังเล็กไม่พอ งั้นคงต้องไปลองดูภาษาตูกีตีกีแล้วล่ะครับ ตูกีตีกีเป็นภาษาลูกของโตกีโปนา ซึ่งทำการบีบอัดศัพท์ลงให้เล็กที่สุด และยังคงใช้งานได้จริง มีคำศัพ์หลักเพียง 39 คำ https://jazzylj.blogspot.com/2025/05/tuki-tiki.html

Lojban โลจบาน
ในขณะที่ภาษาโตกีโปนาเน้นศัพท์ความหมายรากฐานเป็นความเรียบง่ายที่คลุมเครือเป็นและภาษาเชิงปรัชญา ก็มีภาษาประดิษฐ์อีกภาษาหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยอิงจากหลักตรรกศาสตร์ ถือเป็นภาษาเชิงตรรกะ มีโครงสร้างที่ชัดเจนและลดความคลุมเครือให้เหลือน้อยที่สุด นั่นคือ ภาษา Lojban โลจบาน มีความเข้มงวดและมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนมาก โครงสร้างประโยคอิงตามหลักตรรกศาสตร์ ทำให้สามารถระบุบทบาทของแต่ละคำในประโยคได้อย่างแม่นยำ ขึ้นชื่อว่าเป็น "ภาษาประดิษฐ์ที่มีไวยากรณ์สมบูรณ์ที่สุดอาจจะเป็นโลจบาน เพราะเป็นภาษาที่สร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนตรรกะ" เอริกา โอเรนส์ ผู้ประพันธ์ In the Land of Invented Languages กล่าวไว้
แน่นอนว่าไวยากรณ์ที่อิงตามตรรกศาสตร์อาจดูซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านตรรกะ และด้วยโครงสร้างที่เข้มงวด อาจทำให้การสื่อสารในชีวิตประจำวันดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ แต่ก็น่าค้นหาพอสมควรเลยล่ะครับ หากสนใจลองไปศึกษากันดูได้ครับจากตำราอย่างเป็นทางการ The Complete Lojban Language

อ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติม

07 เมษายน 2568

การเล่นดนตรีเพื่อบำเพ็ญจิตใจ ภาค 3 - ดนตรีภาวนา

พิณไลร์ (Lyre) สัญลักษณ์แห่งบทกวี ที่สถานีรถไฟใต้ดินพุชกินสกา (Pushkinska) ในเมืองคาร์คิฟ ซึ่งถูกถ่ายภาพในปี 2010 และบทกวีของอเล็กซานเดอร์ พุชกิน

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและความคิดฟุ้งซ่าน ดนตรีอาจเป็นสะพานที่ทรงพลังที่สุดที่จะนำเรากลับมาพบกับตัวเองอย่างแท้จริง การเล่นดนตรีเพื่อฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่ใช่เพียงการสร้างเสียงอันไพเราะ แต่คือการเดินทางภายในผ่านทางเสียงดนตรี ที่ซึ่งทุกตัวโน้ตที่ก้องกังวาลออกมาล้วนเป็นกระจกส่องสะท้อนจิตใจของผู้เล่น

ผู้เล่นและเครื่องดนตรี
รวมเป็นหนึ่ง

เมื่อเราลองนั่งลงกับเครื่องดนตรีอย่างสงบ ปล่อยให้นิ้วสัมผัสเครื่องดนตรีอย่างมีสติ เสียงแรกที่ดังขึ้นอาจเผยให้เห็นสภาพจิตของเราในขณะนั้นได้อย่างน่าประหลาดใจ บางครั้งเสียงอาจสั่นเครือเพราะมือที่แข็งเกร็ง บางครั้งอาจสะดุดขาดห้วงเพราะจิตที่ฟุ้งซ่าน นี่คือบทเรียนแรกที่ดนตรีสอนเรา การรับรู้ปัจจุบันขณะโดยไม่ตัดสิน

ดนตรีที่แท้ไม่ใช่การควบคุมเสียง
แต่คือการเป็นหนึ่งเดียวกับมัน

การฝึกเล่นดนตรีอย่างมีสติแตกต่างจากการฝึกเพื่อความชำนาญทั่วไป ที่นี่เราไม่ไล่ตามความสมบูรณ์แบบ ไม่มีผิดมีถูก แต่เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกเสียงที่เกิดขึ้น ผิดหรือถูกไม่สำคัญเท่ากับการที่เราสามารถฟังเสียงนั้นอย่างเต็มเปี่ยม โน้ตที่เรารู้สึกว่ามันผิดอาจกลายเป็นครูที่ดีที่สุด ที่สอนให้เรารู้จักการยอมรับและเข้าใจในความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต
เพียงวันละ 10-20 นาที เมื่อเวลาผ่านไป การเล่นดนตรีภาวนาจะค่อยๆ เผยให้เห็นมิติลึกซึ้งของตัวตน เสียงหนักเบาของการกดสายอาจสะท้อนน้ำหนักของอารมณ์ จังหวะการเล่นอาจเผยให้เห็นลมหายใจของจิตใจ ในที่สุดเราจะค้นพบว่า เราไม่ได้กำลังบรรเลงดนตรีอยู่ แต่ดนตรีต่างหากที่กำลังบรรเลงเราอยู่ การเล่นดนตรีภาวนาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เราเห็นการเคลื่อนไหวของความคิดและความรู้สึกอย่างใสกระจ่าง

บางวันที่จิตใจว้าวุ่น การเล่นโน้ตเดียวอย่างตั้งใจ ตั้งจิตจดจ่อฟังเสียงนั้นจนกว่าจะจางหายไปในความเงียบงัน เมื่อเล่นโน้ตใดใดต่อไปให้แต่ละโน้ตได้มีช่องว่างในการหายใจ อาจนำความสงบกลับมา บางขณะที่ใจนิ่ง การด้นสดอย่างอิสระอาจพาเราไปพบส่วนลึกของจิตใต้สำนึก นี่คือความมหัศจรรย์ของดนตรีภาวนา มันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพจิตของผู้เล่น

เมื่อโน้ตเดียวถูกเล่นด้วยจิตว่าง
มันคือประตูสู่ความเงียบอันไร้ที่สิ้นสุด

ในที่สุดแล้ว เส้นทางแห่งดนตรีภาวนาก็คือการเดินทางกลับบ้าน กลับมาพบกับตัวตนที่แท้จริง ตัวตนเดิมแท้ก่อนที่จะถูกความคิดและอารมณ์ต่างๆพอกไว้ ดนตรีกลายเครื่องมือที่คอยสะกิดเพื่อย้ำเตือนให้เรารู้ว่า ณ ใจกลางของเสียงทั้งปวงนั้น มีความเงียบอันบริสุทธิ์อยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนั้นมานานแสนนาน และในความเงียบนั้นเองที่เราจะพบกับตัวที่แท้จริง

หากท่านคิดว่าวิธีนี้เหมาะกับท่าน ให้หยิบเครื่องดนตรีคู่ใจขึ้นมา หรือหากเล่นดนตรีไม่เป็นก็ใช้เครื่องดนตรีง่ายๆสักชิ้น แล้วปลดปล่อยจิตใจไปกับเสียงดนตรีอย่างอิสระด้วยดนตรีภาวนา ในท่วงทำนองที่เอิ่อล้นออกมาจากใจ บรรเลงดั่งไม่มีใครมองอยู่ แล้วยอมรับทุกอย่างที่เป็น... ด้วยความจริงใจอย่างสุดใจ...

เมื่อบรรเลงด้วยจิตอันเป็นหนึ่งเดียว
เสียงนั้นจะเป็นดั่งภาษาแห่งจักรวาล

琴者,禁也
กู่ฉิน[พิณโบราณ]นั้น, คือเครื่องมือฝึกควบคุมจิตใจ

แถม
อันท่วงทำนองนั้น, เกิดจากใจมนุษย์. อารมณ์เคลื่อนไหวจากภายใน, จึงปรากฏออกมาเป็นเสียง. เสียงกลายเป็นระเบียบแบบแผน, เรียกว่าทำนอง. เหตุฉะนี้ ยุคสงบเรียบร้อยท่วงทำนองย่อมสงบสุขจนปีติ, การเมืองการปกครองก็ปรองดอง. ยุควุ่นวายท่วงทำนองย่อมคับแค้นจนโกรธา, การเมืองการปกครองก็วิปริต. ยุคบ้านเมืองล่มสลายท่วงทำนองย่อมโศกเศร้าจนคร่ำครวญ, ปวงชนก็จนตรอกสิ้นหวัง. วิถีแห่งเสียงแลทำนอง, ย่อมเชื่อมโยงกับการเมืองการปกครองอย่างแนบแน่น.
-คัมภีร์หลี่จี้ บทเล่อจี้
บทที่ 1 กำเนิดดนตรี
คัมภีร์ดนตรีจาตรีของศาสนาขงจื้อ

凡音者,生人心者也。情動於中,故形於聲。聲成文,謂之音。是故治世之音安以樂,其政和。亂世之音怨以怒,其政乖。亡國之音哀以思,其民困。聲音之道,與政通矣。
一 樂本

02 เมษายน 2568

ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร - 般若波羅密多心經



ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ สารีบุตร รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง

ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์ และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์ และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์ ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง

พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา เป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่ เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีมนต์อื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ดังนั้น จงท่องมนต์แห่งโลกุตรปัญญา คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา (ไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ลุถึง การรู้แจ้ง ความเบิกบาน)

=======
般若波羅密多心經

觀自在菩薩,行深般若波羅蜜多時,照見五蘊皆空,度一切苦厄。舍利子!色不異空,空不異色;色即是空,空即是色,受想行識亦復如是。舍利子!是諸法空相,不生不滅,不垢不淨,不增不減。

是故,空中無色,無受想行識;無眼耳鼻舌身意;無色聲香味觸法;無眼界,乃至無意識界;無無明,亦無無明盡,乃至無老死,亦無老死盡;無苦集滅道;無智亦無得。以無所得故,菩提薩埵。

依般若波羅蜜多故,心無罣礙;無罣礙故,無有恐怖,遠離顛倒夢想,究竟涅槃。三世諸佛,依般若波羅蜜多故,得阿耨多羅三藐三菩提。故知:般若波羅蜜多是大神咒,是大明咒,是無上咒,是無等等咒,能除一切苦,真實不虛。故說般若波羅蜜多咒,即說咒曰:揭諦揭諦,波羅揭諦,波羅僧揭諦,菩提薩婆訶。

แถม
ชี้เป้าสร้อยข้อมือที่สลักคัมภีร์หฤทัยสูตร

ประคำข้อมือชาดแดง เม็ดกูรูสลักคัมภีร์หฤทัยสูตร
🛒https://s.shopee.co.th/60E0J0OoE3

กำไลชาดแดง สลักคัมภีร์หฤทัยสูตร
🛒https://s.shopee.co.th/1B8JGNcloj

อ้างอิง
https://www.pantown.com/board.php?id=11555&area=&name=board5&topic=60&action=view
https://zh.wikipedia.org/wiki/%E8%88%AC%E8%8B%A5%E6%B3%A2%E7%BE%85%E8%9C%9C%E5%A4%9A%E5%BF%83%E7%B6%93
https://scripturetw.com/articles/xinjing
https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3