Sponsor

25 ธันวาคม 2568

บทบาทของเกลือในกลียุค

https://commons.wikimedia.org/wiki/File:A_bottle_of_sea_salt_in_Hong_Kong.jpg

หากเกิดภัยพิบัติยืดเยื้อหรือเกิดสงครามโลกจนระบบเศรษฐกิจพังทลาย เกลือจะกลับมาทวงคืนตำแหน่งทองคำสีขาว (White Gold) ทันทีภายในเวลา 1-3 เดือน หากภัยพิบัติยืดเยื้อขนาดนั้นจริงๆ (หวังว่าคงจะไม่) ถึงตอนนั้น เกลือจะกลับมาเป็นเงินตราดั่งเช่นในอดีต
ในประวัติศาสตร์คำว่า Salary (เงินเดือน) ก็มีรากศัพท์มาจาก Sal (เกลือ) เพราะโรมันใช้เกลือจ่ายค่าจ้างทหาร เพราะเกลือคือสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ ดั่งที่ได้กล่าวไปในบทความ เกลือแต่ละชนิดเหมือนหรือต่างกันอย่างไร? และขาดไม่ได้ในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจหากเกิดกลียุคด้วย

เมื่อเกิดกลียุค ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีการขนส่ง การใช้แรงงานออกไปหาอาหารทำให้เหนื่อยล้า เครียด สูญเสียเหงื่อ โรคพื้นฐานที่เคยหายไปจะกลับมามีบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ตะคริว ท้องเสีย หรือช็อกจากการขาดเกลือแร่ เกลือเล็กน้อยผสมน้ำเป็นน้ำเกลือแร่สำหรับดื่มช่วยได้
เมื่อไม่มีไฟฟ้า ตู้เย็นใช้ไม่ได้ อาหารที่ออกแรงหามาได้ จะเน่าเสียอย่างรวดเร็ว การใช้เกลือจะช่วยถนอมอาหารให้อยู่ได้นานเป็นปี
หากบาดเจ็บจากการออกไปหาอาหารหรือเป็นแผลในปาก การมีเกลือไว้ทำน้ำเกลือสามารถใช้ล้างแผลและฆ่าเชื้อเบื้องต้นได้ เป็นต้น
ในภาวะเช่นนั้นเกลือจะมีมูลค่าสูงขึ้นมาทันที จากที่ในปัจจุบันเกลือมีราคาถูกมาก ผู้คนจึงมักมองข้าม แต่ถึงอย่างนั้น มีแค่เกลือย่อมไม่พอ ต้องมีความรู้ในการใช้เกลือถนอมอาหาร รวมถึงการเข้าถึงแหล่งอาหาร และมีของใช้อื่นๆในการเอาชีวิตรอด สำคัญที่สุดคือ ต้องมีความรู้ให้มากกว่าอุปกรณ์

เกลือที่ควรมีสำรอง สำหรับ 1 คน/ปี ประมาณ 5 ก.ก. และเผื่อใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินตราในชุมชนอีกประมาณ 2-5 ก.ก. เป็นอย่างน้อย

แนะนำว่าควรเก็บเกลือสมุทรแบบเม็ดเป็นหลัก เนื่องจากมันมีแร่ธาตุที่หลากหลาย ใช้ประโยชน์ได้กว้าง ดูจริงจังในการเป็นเงินตรา และเกลือเม็ดนั้นเก็บรักษาได้ง่ายกว่าเกลือป่นละเอียดในแง่ของความชื้น แต่เกลือชนิดอื่นๆก็อาจจะควรมีไว้ด้วยในสัดส่วนที่น้อยกว่า (รวมไม่เกิน 10%) เผื่อใช้งานต่างๆ

เกลือโดยธรรมชาตินั้นเป็นแร่ธาตุที่เสถียรมาก ไม่มีแบคทีเรียหรือเชื้อราที่เจริญเติบโตบนเกลือได้ มันจึงกันบูดในตัวเอง และไม่มีวันหมดอายุในแง่ของการเน่าเสียตามธรรมชาติ อยู่ได้เป็นร้อยเป็นพันปีตราบเท่าที่ยังแห้งอยู่ การเก็บรักษาจึงควรเลี่ยงความชื้นที่อาจทำให้ละลาย (ภาชนะเก็บเกลือจึงสำคัญ) แต่แม้จะเกลือละลาย การนำไปตากหรือเคี่ยวให้แห้งก็กลับมาเป็นเกลือได้ เพียงต้องระวังเศษฝุ่นปนเปื้อนเท่านั้น

อ้างอิง

24 ธันวาคม 2568

เกลือแต่ละชนิดเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Seasalt.jpg

เกลือ หรือ เกลือแกง ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ เกลือ คือ โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ดังนั้น เกลือแต่ละชนิดจึงไม่มีความแตกต่างอะไรกัน หากไม่นับแร่ธาตุอื่นๆที่เจืออยู่

บทความก็จบลงเพียงเท่านี้

แต่... หากตีความด้วยปรัชญาจีนห้าธาตุ เกลือไม่ใช่เพียงวัตถุที่ให้ความเค็ม แต่คือธาตุน้ำที่แฝงอยู่ในรูปลักษณ์ของธาตุทอง (ธาตุทองกำเนิดน้ำ) ซึ่งเก็บงำพลังงานชีวิตและจิตวิญญาณของแหล่งกำเนิดชีวิตไว้อย่างมหาศาล โดยเกลือแต่ละชนิดจะมีพลังงานที่แตกต่างกันไป

เกลือ มีรสเค็ม ธาตุน้ำ ตามหลักปรัชญาจีน จะเข้าเส้นลมปราณไต บำรุงไต (เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป และไตยังทำงานได้ปกติ)
ไต เป็นธาตุน้ำ ตามหลักปรัชญาจีน เป็นแบตเตอรี่รากฐานของร่างกาย ไตแข็งแรงจะอายุยืน
ดังนั้น เกลือจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อชีวิต

เกลือป่นบริโภคทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ทำจากเกลือสินเธาว์ที่ผ่านกระบวนการจนเหลือเพียงโซเดียมคลอไรด์เพียวๆจากกรรมวิธีทางอุตสาหกรรม ด้วยความที่สกัดจนเหลือเพียงโซเดียมคลอไรด์ ทำให้เกลือขาดสมดุลตามธรรมชาติที่ปกติควรจะต้องอยู่ร่วมกับแร่ธาตุอื่นๆตามบริบท ทำให้มันมีรสเค็มโดดและบริสุทธิ์เกินไป ดั่งเกลือที่ไร้วิญญาณ เป็นเพียงโครงทางเคมี มันจึงมีความเข้มข้นจัด พุ่งเข้าไตอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ไตต้องทำงานหนักเพื่อขับส่วนเกิน ส่งผลให้พลังไตพร่อง ซึ่งนำไปสู่โรคไตได้ง่าย และตามระบบวงจรห้าธาตุที่ว่า น้ำข่มไฟ เมื่อธาตุน้ำไตบกพร่องจากการรับภาระหนักเกินไป น้ำก็ไม่อาจข่มไฟให้สงบได้ ส่งผลให้ธาตุไฟหัวใจลุกโชน เบื้องต้นแสดงออกทางจิตใจที่ว้าวุ่น นอนไม่หลับ และอาจลุกลามไปสู่โรคความดันโลหิตและโรคหัวใจได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกลือป่นอุตสาหกรรมมีราคาถูกและมักเสริมคุณค่าด้วยการเติมสารไอโอดีน จึงเป็นตัวช่วยกระจายไอโอดีนไปสู่พื้นที่ทุรกันดารที่ห่างไกลทะเลได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังมีผลึกที่สม่ำเสมอทำให้ควบคุมรสชาติในกระบวนการผลิตอาหารเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ด้วยราคาที่ย่อมเยา จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้ประโยชน์ในครัวเรือน เช่น ใช้ขัดคราบไหม้บนกระทะเหล็ก ขจัดคราบหรือกลิ่นบนวัสดุ ทำความสะอาดท่อระบายน้ำ โรยพื้นเพื่อฆ่าเชื้อหรือไล่สัตว์บางชนิด ฯลฯ โดยไม่ต้องเสียดายมากนัก

ขณะที่ เกลือสินเธาว์แบบดั้งเดิม ที่ได้จากการต้มดินเค็มด้วยฟืน จะโดดเด่นด้วยพลังของธาตุดินและธาตุไฟที่สอดแทรกแฝงอยู่ในธาตุน้ำ การผ่านความร้อนจากฟืนช่วยให้เกลือชนิดนี้มีคุณสมบัติในการขับความชื้นและกระจายความเย็นในร่างกายได้ดี มีสมดุลของธาตุตามสมควร จึงให้รสเค็มที่ไม่โดด ทำให้เข้าไตและอวัยวะธาตุต่างๆอย่างนุ่มนวลกว่า

ส่วน เกลือชมพูหิมาลายัน นั้น เป็นฟอสซิลเกลือจากทะเลดึกดำบรรพ์ ถูกผนึกอยู่ภายใต้แรงกดดันของภูเขาสูงนับล้านปี และมีสีชมพูที่สะท้อนถึงพลังงานของธาตุไฟที่ละเอียดอ่อนซ่อนอยู่ภายใน เกลือชนิดนี้จึงเป็นเกลือธรรมชาติที่ดีอีกชนิดหนึ่งยามที่ร่างกายต้องการการฟื้นฟูระดับลึก เหมาะใช้เป็นยา

แต่ที่โดดเด่นและใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางที่สุดคือ เกลือสมุทร เพราะถือกำเนิดจากการประสานกันของมหาสมุทร (ธาตุน้ำ, หยิน) และแสงอาทิตย์ (ธาตุไฟ, หยาง) และด้วยกระบวนการตกผลึกอย่างช้าๆตามธรรมชาติด้วยกระแสลม (ธาตุไม้) และตะวัน (หยาง) จันทรา (หยิน) ทำให้เกลือเม็ดมีพลังงานชีวิตที่เต็มเปี่ยม สามารถเข้าสู่เส้นลมปราณไตได้อย่างนุ่มนวลที่สุดในบรรดาเกลือทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ในกระบวนการผลิตเกลือสมุทรยังมี ดอกเกลือ ซึ่งเป็นผลึกแรกที่ลอยตัวเหนือผิวน้ำ จึงมีพลังที่โปร่งเบา ให้รสเค็มที่ละเอียดอ่อนและสดใหม่ เหมาะสำหรับการใช้ปรุงเพื่อชูรสในขั้นสุดท้าย หรือใช้เป็นโอสถสารเพื่อคืนความสดชื่น

ดังนั้น ที่ว่า "เกลือ มีรสเค็ม ธาตุน้ำ ตามหลักปรัชญาจีน จะเข้าเส้นลมปราณไต บำรุงไต (เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป และไตยังทำงานได้ปกติ)" นั้น อาจจะไม่ใช่หมายถึงเกลืออะไรก็ได้ แต่หมายถึงเกลือธรรมชาติ ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่ร่างกายปกติ เค็มพอดีบำรุงไต เค็มมากไปทำลายไต

สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดจากทะเล และวิวัฒนาการขึ้นมาอาศัยอยู่บนบกได้ก็ด้วยการพกทะเลติดตัวมาด้วยในรูปแบบของของเหลวในร่างกาย ดังนั้น การเลือกเกลือจึงไม่ใช่แค่การเลือกเครื่องปรุง แต่คือการเลือกคุณภาพของมหาสมุทรภายในตัวเรา การกินเกลือที่ไร้พลังชีวิต ก็เท่ากับเรากำลังเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นทะเลทรายที่เค็มจัดแทนที่จะเป็นมหาสมุทรที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต


https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Sun_(210247565).jpeg

แถม
ในปัจจุบันที่เราไม่อาจเลี่ยงเกลือป่นอุตสาหกรรมได้ จึงอาจจำเป็นต้องดูแลตัวเองเท่าที่ทำได้
ดังนั้น เมื่อเกลือป่นอุตสาหกรรมคือธาตุน้ำที่รุนแรงเกินไปจนทำร้ายไต ก็ต้องทำการระบายส่วนแกร่งและบำรุงส่วนพร่อง ตามหลักห้าธาตุ เมื่อน้ำให้กำเนิดไม้ ไม้ก็จะดึงน้ำมาเกิดตัวเอง ดังนั้น ควรกินอาหารที่เป็นธาตุไม้ เพื่อระบายธาตุน้ำ เช่น น้ำเก๊กฮวย ชาเขียว เป็นต้น และเพื่อบำรุงไต ด้วยอาหารธรรมชาติสีดำ เช่น เห็ดหอม งาดำ ถั่วดำ เป็นต้น นี่คือคำแนะนำโดยทั่วไปสำหรับผู้ที่สุขภาพปกติดี แต่เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะตามสภาพร่างกาย
สภาวะร่างกาย (หยินหยางห้าธาตุ) ของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกัน หากท่านมีโรคประจำตัวหรือสภาวะร่างกายที่ซับซ้อน โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภค

สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องการขาดสารไอโอดีน ต้องเข้าใจว่าเกลือโดยธรรมชาติ แม้เกลือสมุทรก็ตาม ไม่ใช่แหล่งหลักของไอโอดีน ส่วนเกลือป่นอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่มักมีการเสริมไอโอดีนเข้าไป ซึ่งแม้จะมีประโยชน์ในการป้องกันโรคเอ๋อและโรคคอพอกอยู่บ้าง แต่แหล่งไอโอดีนที่แท้จริงและดีที่สุดตามธรรมชาติมาจากอาหารทะเล ดังนั้น หากต้องการเสริมไอโอดีน การบริโภคอาหารทะเลโดยตรงจึงเป็นวิธีที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับธรรมชาติมากกว่า เช่น สาหร่ายทะเล เป็นต้นครับ

เนื้อหาทั้งหมดข้างต้นเป็นการตีความเชิงปรัชญาห้าธาตุ มิใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อบกพร่องประการใด ข้าพเจ้าขอน้อมรับคำชี้แนะจากผู้รู้ทุกท่านเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่สาธารณะสืบไป และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม
บทบาทของเกลือในกลียุค

17 ธันวาคม 2568

แบ็กแกมม่อนกับการพัฒนาสมองทั้งสองซีก

https://de.wikipedia.org/wiki/Datei:Tavli_Board_without_slots_(traditional).jpg

แบ็กแกมม่อน (Backgammmon; สกา) อาจถูกมองเป็นเพียงเกมทอยเต๋าเสี่ยงโชค แต่สำหรับผู้ที่ก้าวเข้าสู่เกมกระดานนี้อย่างเจาะลึกไปจนถึงรากฐาน จะพบว่านี่คือห้องทดลองขนาดเล็กที่จำลองชะตาแห่งชีวิต เป็นเกมที่ไม่ได้มอบแค่ความสนุกเท่านั้น แต่เป็นสนามฝึกฝนชั้นยอดสำหรับสมองของเราด้วย

ลองจินตนาการดูว่าในขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่หน้ากระดานไม้สีเข้ม ที่มีเม็ดหมากกลม ๆ สีตัดกันวางเรียงรายอยู่ เมื่อท่านหยิบลูกเต๋ามาถือไว้ในมือแล้วปล่อยลง เสียงทอยเต๋ากระทบไม้ดังกุกกัก เมื่อแต้มเต๋าปรากฏออกมา ในขณะที่มือของท่านกำลังจะขยับตัวหมาก สมองซีกซ้ายซึ่งรักในระเบียบแบบแผนจะคอยกลั่นกรองการคำนวณ ในขณะที่สมองซีกขวาซึ่งเต็มไปด้วยจินตนาการจะคอยอ่านทิศทางของโอกาส หากขาดซีกใดซีกหนึ่งไป เราอาจเป็นได้เพียงเครื่องจักรคำนวณที่ไร้หัวใจ หรือไม่ก็เป็นเพียงผีพนันที่ไร้สติปัญญา แต่ในแบ็กแกมม่อน สมองทั้งสองซีกจะร่ายรำไปพร้อมกัน ดั่งการหมุนวนของหยินหยางอันไร้สิ้นสุด

และนั่น คือจุดเริ่มต้นที่โลกแห่งตรรกะ (Logic) และสหัชญาณ (Intuition) มาบรรจบกัน

การทำงานของสมองซีกซ้าย - นักกลยุทธ์แห่งตรรกะ
สมองซีกซ้ายเข้ามาทำหน้าที่ทันทีที่ลูกเต๋าทั้งสองหยุดนิ่ง มันคือส่วนที่เป็นนักคำนวณ เป็นนักกลยุทธ์ที่วางแผนอย่างเป็นขั้นตอน

เมื่อคุณทอยได้ 6 กับ 1

สมองซีกซ้ายเริ่มคำนวณทันที "เราต้องใช้แต้ม 6 นี้เพื่อป้องกันจุดอ่อนที่ช่อง 18 ของเราไหม? แล้วแต้ม 1 ล่ะ ควรใช้เพื่อโจมตีหมากเดี่ยว (Blot) ของคู่ต่อสู้ที่ช่อง 5 หรือจะใช้แต้มทั้งหมดเดินหนีหมากตัวท้ายที่ช่อง 24 ดีนะ?"

นี่คือการคำนวณเชิงตรรกะล้วน ๆ เป็นการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่แม่นยำ "ถ้ากิน (Hit) หมากนั้น เราจะได้เปรียบในระยะสั้นรึเปล่า? และถ้าการทอยเต๋าในตาถัดไปไม่เป็นใจ เราอาจโดนคู่ต่อสู้กินกลับไปอยู่นอกกระดาน (Bar) และทำให้การป้องกันของเราพังทลายลงรึเปล่า?"
การเล่นแบ็กแกมม่อนทุกตาจึงเป็นการฝึกฝนความสามารถในการ คำนวณความน่าจะเป็น การวางแผนระยะสั้นระยะยาว และการวิเคราะห์โครงสร้างของหมากบนกระดานอย่างถี่ถ้วน

การทำงานของสมองซีกขวา - ศิลปินแห่งสหัชญาณ
แต่แบ็กแกมม่อนไม่ใช่หมากรุกที่ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยตรรกะบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว เพราะมีลูกเต๋าเข้ามาเกี่ยวข้อง โชคจึงเป็นส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ต่างจากชีวิตจริงของคนเรา และนี่คือช่วงที่สมองซีกขวา หรือส่วนที่รับผิดชอบด้านสหัชญาณ และการเห็นภาพรวมมองภาพใหญ่เข้ามามีบทบาท

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียด และท่านต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ไม่ชัดเจนว่า จะ "กิน" หมากเดี่ยวของคู่ต่อสู้เพื่อแลกกับความเสี่ยง หรือ "หนี" เพื่อความปลอดภัยดี?

ท่านอาจมี "ความรู้สึก" ที่บอกว่าตอนนี้คือจังหวะที่ต้องเสี่ยงหรือเซฟ แม้ว่าการคำนวณทางสถิติอาจไม่ได้บอกชัดเจน สมองซีกขวาจะใช้ข้อมูลจากรูปแบบและประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อบอกด้วยสัญชาตญาณว่า การตัดสินใจที่สร้างสรรค์และงดงามที่สุดในสถานการณ์นี้คืออะไร

มันไม่ใช่การคำนวณ แต่คือการสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์หมากบนกระดานให้เข้าสู่รูปแบบที่ท่านต้องการ แม้จะต้องยอมทิ้งบางหมากให้เป็นหมากเดี่ยวก็ตาม (ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกกิน) นี่คือความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญไม่ต่างจากความสามารถในการคำนวณ

แบ็กแกมม่อน การผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ - เครื่องมือจำลองการรับมือกับชีวิต
ประโยชน์ที่แท้จริงของแบ็กแกมม่อน คือ การกระตุ้นให้สมองทั้งสองซีกต้องทำงานประสานกันอย่างรวดเร็ว

  • ตรรกะ - คำนวณความน่าจะเป็นของแต้มลูกเต๋า และการรับมือกับสภาพแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้ความเสี่ยงแห่งความไม่แน่นอนที่แน่นอน
  • สหัชญาณ - ตัดสินใจว่าจากความน่าจะเป็นนั้น ว่าควรเลือกเส้นทางที่ "เสี่ยง" หรือ "เซฟ" ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความสร้างสรรค์ที่ไร้กรอบ

ดังนั้น สำหรับผู้ที่เล่นแบ็กแกมม่อนอย่างสม่ำเสมอ สมองทั้งสองซีกจะถูกฝึกฝนให้มีความยืดหยุ่นในการคิดและรับมือกับความไม่แน่นอน เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็น "นักกลยุทธ์-ที่รู้จักเสี่ยง และศิลปิน-ที่รู้จักกฎเกณฑ์" นี่คือหมากกระดานที่สอนให้เรายอมรับว่า ชีวิตคือการผสมผสานระหว่างการวางแผนที่ดีกับโชคที่ไม่คาดคิด และสอนให้เรารับมือกับการตัดสินใจและยอมรับผลท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านั้น ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
แก่นแท้ทุกอย่างถูกกลั่นไว้บนหมากกระดานแห่งนี้แล้ว

อ่านวิธีการเล่นแบ็กแกมม่อนภาษาไทยได้ที่ How to play Backgammon - กติกาและวิธีการเล่นแบ็กแกมม่อน

Backgammon

วิญญูชนอาศัยการมอบตนให้โชคชะตา[อุทิศชีวิต]เพื่อบรรลุปณิธาน
君子以致命遂志。
-คัมภีร์อี้จิง
กว้าที่ 47 คุ่น (困) ส่วนเซี่ยง (象)

เต๋าปกติไร้กระทำแต่ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกกระทำ
道常無為而無不為。
-คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง บทที่ 37

ทุกสิ่งที่ได้ทำไป สองในสามส่วนต้องอยู่ในการคำนวณ อีกหนึ่งส่วนนั้นปล่อยไว้ให้โชคชะตา
-นโปเลียน
หลักพิชัยสงครามนโปเลียน

อ้างอิง

12 ธันวาคม 2568

สรุปคาถาและกลยุทธการเอาชนะบอสปิศาจมังกรใน Dragon Quest 1

https://www.nintendoblast.com.br/2021/07/crpg-jrpg-diferencas-rpg.html

ชื่อคาถาอาจจะต่างกันขึ้นอยู่กับว่าใช้ ROM แปล เว่อร์ชั่นอะไร ในที่นี้ใช้ ROM Dragon Quest I & II (J) [T+Eng2.0_DQ RPGOne (23.06.2003)]

สรุปคาถาใน Dragon Quest 1
Heal (ฮีล):
ฟื้นฟูพลังชีวิต (HP) เล็กน้อยระหว่างการต่อสู้หรือการเดินทาง เป็นคาถาพื้นฐานในการรักษาตัวเอง

Radiant (เรเดียนท์ / Glow):
สร้างแสงสว่างในถ้ำและดันเจี้ยนที่มืดมิด ทดแทนการใช้คบไฟ (Torch) ซึ่งแสงสว่างจะค่อยๆหรี่ลงเรื่อยๆตามจำนวนเทิร์นที่กำหนด แต่ก็ใช้ได้นานพอ

Outside (เอาท์ไซด์ / Exit):
วาร์ปออกจากถ้ำหรือดันเจี้ยนไปยังทางเข้าทันที

Return (รีเทิร์น / Zoom):
วาร์ปไปยังปราสาทราดาโทมทันที ใช้สำหรับการเดินทางระยะไกลและกลับฐานอย่างรวดเร็ว (เป็น Fast Travel ของเกม) แต่ไม่สามารถใช้ขณะอยู่ในถ้ำหรือดันเจี้ยนได้

Repel (รีเพล / Holy Protection):
ขับไล่มอนสเตอร์ที่อ่อนแอกว่า ไม่ให้ปรากฏตัวในการเผชิญหน้าขณะเดินทางบนแผนที่โลก ช่วยให้เดินทางในพื้นที่ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

Healmore (ฮีลมอร์ / Midheal):
ฟื้นฟูพลังชีวิต (HP) ปริมาณมาก เป็นคาถาที่ขาดไม่ได้ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ระดับสูงและบอสใหญ่

Firebal (ไฟร์บอล / Sizz):
คาถาโจมตีที่สร้างความเสียหายไฟในระดับต่ำถึงกลาง ใช้ได้ดีในช่วงต้นถึงกลางเกมเพื่อเสริมการโจมตีทางกายภาพ

Sleep (สลีป / Snooze):
ใช้ในการทำให้ศัตรูหลับชั่วคราว ใช้เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูตัวอันตราย หรือใช้เพื่อหนีจากการต่อสู้

Stopspell (สต็อปสเปล / Fizzle):
ใช้ในการป้องกันไม่ให้ศัตรูร่ายคาถา เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ที่ใช้เวทมนตร์โจมตีหรือเวทมนตร์ฟื้นฟู

Firebane (ไฟร์เบน / Sizzle):
คาถาโจมตีที่สร้างความเสียหายไฟในระดับกลางถึงสูง

https://www.deviantart.com/brycebrownarts/art/Dragon-Quest-Art-1-Colored-850329146

แถม
กลยุทธการเอาชนะบอสปิศาจมังกร
เมื่อใส่อุปกรณ์เหล่านี้ครบถ้วนแล้ว Armor of Roto, Mirror Shield, Dragon’s Scale, และ Warrior's Ring ให้ฟาร์มเลเวลในชั้นล่างสุดของปราสาทปิศาจมังกร เมื่อถึงเลเวล 19 ก็ให้กลับไปฟื้นฟู MP ให้เต็มก่อน (Outside ตามด้วย Return) แล้วกลับมาที่ปราสาทปิศาจมังกรใหม่อีกครั้ง โดยระหว่างทางไม่ใช่ MP เลยแม้แต่ครั้งเดียว (อาจใช้ Repel ระหว่างทางแล้วเข้าพัก Inn ที่เมืองตะวันออกเฉียงใต้) จากนั้นก็สามารถเข้าไปปราบปิศาจมังกรได้เลย โดยระหว่างทางลงก็ไม่ต้องใช้ MP เลยเช่นกันครับ
ในการโจมตีปิศาจมังกรให้ใช้การโจมตีด้วยดาบอย่างเดียว (เพราะใช้คาถาโจมตีแล้วไม่ค่อยได้ผล) และใช้คาถา Healmore เมื่อ HP ของคุณลดต่ำกว่า 50% หรือใช้สมุนไพรเพื่อ Medical Herb ประหยัด MP
ให้ความสำคัญกับการรักษาเหนือการโจมตี การอยู่รอดคือสิ่งสำคัญที่สุด

10 ธันวาคม 2568

วิเคราะห์อาชีพในเกม Final Fantasy I

https://www.nintendo.com/us/store/products/final-fantasy-switch/

ใน Final Fantasy I (FF1) ตอนเริ่มเกมจะให้คุณเลือกทีม 4 คน จาก 6 อาชีพ (Job) และการเลือกทีมถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด เพราะคุณต้องอยู่กับทีมนี้ตลอดไปจนกว่าจะมีการเลื่อนขั้นในช่วงกลางเกม

วิเคราะห์แต่ละอาชีพใน FF1 โดยสังเขป

Fighter (นักรบ)
พลังโจมตีทางกายภาพ, พลังป้องกันสูงสุด, HP สูงสุด สามารถใช้อาวุธและเกราะที่ดีที่สุดในเกม, เป็นตัวรับดาเมจ (Tank)
ถือเป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้ เป็นเกราะกำบังของทีม ช่วยให้สมาชิกคนอื่น ๆ (โดยเฉพาะนักเวท) สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างปลอดภัย

Thief (จารชน)
ความว่องไวสูงที่สุด หนีเก่ง, โจมตีก่อน ความแม่นยำสูง ในขั้นสูง (Ninja) สามารถใช้เวทมนตร์ดำระดับต่ำได้เล็กน้อย (เพิ่มความยืดหยุ่น)
ในช่วงต้นเกม Thief จะค่อนข้างอ่อนแอและมีพลังโจมตีไม่สูงนัก แต่ความสามารถในการหนีจากการต่อสู้ในดันเจี้ยนนั้นมีประโยชน์มาก
เมื่อเลื่อนขั้นเป็น Ninja จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก แต่ไม่สามารถเทียบกับ Knight (นักรบขั้นสูง-อัศวิน) หรือ Grand Master (นักสู้ขั้นสูง-ปรมาจารย์) ในด้านพลังโจมตีสูงสุด

Bl. Belt (นักสู้สายดำ)
พลังโจมตีทางกายภาพสูงมากเมื่อไร้อาวุธ/เกราะ (เมื่อเลเวลสูง) ประหยัดเงิน โจมตีโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ HP เพิ่มขึ้นได้สูง
ความแข็งแกร่งโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อถึงเลเวลสูง พลังการโจมตีด้วยมือเปล่าจะสูงจนไม่ต้องใช้อาวุธใด ๆ เลย
แต่ในช่วงต้นเกมถึงกลางเกมที่เลเวลยังต่ำ จะค่อนข้างเปราะบางและอ่อนแอกว่า Fighter

RedMage (นักเวทแดง)
เป็นนักเวทที่มีความสมดุล ใช้ได้ทั้งเวทมนตร์ขาวและดำในระดับกลาง ๆ ใช้อาวุธ/เกราะระดับกลาง ๆ ได้ เป็นตัวบุกสำรองและหมอรักษาสำรอง
มีความยืดหยุ่น เป็นตัวเชื่อมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเกม สามารถรับมือกับเกือบทุกสถานการณ์ เช่น รักษาได้, โจมตีได้, ใส่เกราะได้
แต่ไม่เก่งที่สุดในทุกด้าน เวทมนตร์ที่ร่ายได้ถูกจำกัดระดับสูงสุด ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์โจมตี/รักษาที่ทรงพลังที่สุดได้

Wh. Mage (นักเวทขาว)
เวทมนตร์ขาว รักษา, ป้องกัน, เป็นหน่วนสนับสนุนที่ดีที่สุดในเกม เป็นแกนหลักของการอยู่รอดของทีม
เป็นหมอรักษาที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดในระยะยาว หากไม่มี White Mage คุณจะต้องใช้ Potion จำนวนมหาศาล

Bl. Mage (นักเวทดำ)
เวทมนตร์ดำใช้โจมตีที่ดีที่สุดในเกม เป็นแกนหลักของการสร้างความเสียหายและการโจมตีจุดอ่อนของศัตรู
เป็นจอมทำลายล้าง เป็นวิธีเดียวที่จะโจมตีศัตรูที่มีเกราะป้องกันทางกายภาพสูงได้
แต่พลังชีวิตและพลังป้องกันต่ำมาก ต้องได้รับการปกป้องจาก Fighter ตลอดเวลา

การตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการเลือก Job ที่จะทำให้คุณรู้สึกสนุกและสามารถบริหารจัดการความอ่อนแอของทีมได้ครับ

https://www.nintendolife.com/games/nes/final_fantasy

ส่วนตัวคิดว่า ทีมที่เหมาะสมที่สุดคือทีมที่สมดุลหยินหยาง โดยมีทั้งการโจมตีทางกายภาพ (หยาง) และการสนับสนุน/ฟื้นฟู (หยิน) ด้วยแนวคิดนั้นจึงเลือกจัดทีมดังนี้ครับ

Fighter (นักรบ) - เป็นตัวหลักในการโจมตีและป้องกัน
Bl. Belt (นักสู้) - มีพลังโจมตีทางกายภาพสูงโดยแทบไม่ต้องพึ่งอาวุธ (ประหยัดเงิน)
Bl. Mage (นักเวทดำ) - สร้างความเสียหายและโจมตีจุดอ่อนของศัตรู
Wh. Mage (นักเวทขาว) - รักษา, ชุบชีวิต, และป้องกันสถานะผิดปกติ (สำคัญที่สุด)

ลำดับตัวละครก็สำคัญ ตัวแรกๆที่เลือกจะเป็นตัวป้องกันของทีมเป็นส่วนใหญ่และตัวอื่นรองลงมาตามลำดับ แม้จะเป็นแบบสุ่มก็ตาม (สามารถปรับเปลี่ยนลำดับได้ในเกมด้วยการกด Select)

ทีมนี้จะมีความสมดุลและยืดหยุ่นมาก โดย Bl. Belt จะช่วยประหยัดเงินในระยะยาว คือ ไม่ต้องซื้ออาวุธหรือเกราะ ทำให้สามารถทุ่มเงินไปกับการซื้อเวทมนตร์ของ Mage ทั้งสองคนได้นั่นเอง

แต่การผสมผสานยังคงเป็นไปได้อีกมากมาย เพื่อนๆมีแนวทางการจัดทีม FF1 อย่างไร และด้วยเหตุผลอะไรน่าสนใจบ้าง มาแชร์กันได้เลยนะครับ

09 ธันวาคม 2568

10 ประโยชน์ที่ได้จากการเล่นแบ็กแกมม่อน (Backgammon)

https://foto.wuestenigel.com/hand-moving-a-backgammon-game-token/

แบ็กแกมม่อน (Backgammon) หรือ สกา ไม่ใช่แค่เกม แต่เป็นกระดานจำลองทางความคิดที่สมดุลในการฝึกฝนการรับมือกับความจริงของโลกอันแปรเปลี่ยนและไม่แน่นอน ประโยชน์ที่ได้รับจากการเล่นแบ็กแกมม่อนที่ข้าพเจ้ากลั่นกรองออกมา 10 ข้อ มีดังนี้ครับ

1. ฝึกการรับมือกับความผันผวนในชีวิต
ท่านจะถูกฝึกให้เผชิญหน้ากับสภาวการณ์ที่ไม่คาดคิด (การทอยเต๋า) และต้องหาทางตอบสนองอย่างดีที่สุด (มีนัดสำคัญแต่ดันเกิดเหตุสุดวิสัย) แทนที่จะคาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามแผน

2. ฝึกการบริหารทรัพยากรที่ได้มา
แบ็กแกมม่อนจะให้ท่านตัดสินใจว่าจะใช้แต้มเต๋าที่มีอยู่ (ทรัพยากรที่ได้มา) ไปกับการรุกหน้า โจมตี หรือป้องกัน ซึ่งเป็นการฝึกจัดการทรัพยากรณ์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3. แยกแยะสิ่งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
ท่านจะได้เรียนรู้ที่จะมุ่งพลังความคิดให้กับการเดินหมาก (สิ่งที่ควบคุมได้) และปล่อยวางผลลัพธ์ของการทอยเต๋า (สิ่งที่ควบคุมไม่ได้)

4. พัฒนาทักษะการบริหารจัดการความเสี่ยง
แบ็กแกมม่อนจะสอนท่านให้ประเมินความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ต่าง ๆ และตัดสินใจว่าควร "เสี่ยง" หรือ "ปลอดภัย" ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

5. ฝึกความยืดหยุ่นทางความคิด
เมื่อแผนที่วางไว้พังทลายลงเพราะแต้มเต๋าของฝ่ายตรงข้าม คุณต้องสามารถพลิกแพลงกลยุทธ์ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ยึดติดกับแผนเดิม

6. สอนให้รู้จักล้มแล้วลุกให้เร็ว
สอนให้ท่านปล่อยวางความโชคร้าย (การทอยเต๋าที่แย่) ทันทีที่ตาเดินจบลง และมุ่งความสนใจไปที่ตาถัดไป เพื่อไม่ให้ความผิดหวังในอดีตมาทำลายการตัดสินใจในปัจจุบัน

7. ความสมดุลระหว่างกลยุทธ์และโอกาส
เป็นเกมที่ผสมผสานระหว่างการวางแผนกลยุทธ์เชิงตรรกะ (เหมือนหมากรุก หมากล้อม ฯลฯ) กับโชคชะตา (เหมือนเกมบันไดงู) ทำให้สมองถูกกระตุ้นอย่างเป็นองค์รวมในทุกด้าน ทั้งมิติด้านการคำนวณและสหัชญาณ

8. สอนให้มองหาโอกาสในทุกสถานการณ์
แม้ว่าท่านอาจได้แต้มเต๋าที่แย่ แต่ก็ยังมีทางออกที่ดีที่สุดเสมอ แบ็กแกมม่อนฝึกให้ท่านค้นหาทางเลือกอย่างสร้างสรรค์จากข้อจำกัด มองหาทางที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด และยอมรับผลที่จะตามมา

9. ช่วยให้สมองปลอดโปร่งแต่ยังคงตื่นตัว
แบ็กแกมม่อนให้ความสนุก ตื่นเต้น และกระตุ้นความคิด ซึ่งมีองค์ประกอบของการสุ่มเข้ามาช่วยลดความเครียดจากการคำนวณที่หนักหน่วง

10. สอนให้ตระหนักถึงสัจธรรม
เกมนี้มอบบทเรียนที่ทรงพลังของโลกแห่งความจริงว่า โลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "โชคชะตา" ฝีมือที่เก่งกาจไม่อาจรับประกันความสำเร็จเสมอไป ซึ่งเป็นบ่มเพาะความอ่อนน้อมถ่อมตน และปล่อยวางจากความยึดมั่นในผลลัพธ์ เพื่อยกระดับจิตใจให้เข้าใกล้ความสงบที่แท้จริง

แบ็คแกมม่อนจึงเป็นเกมกระดานที่ครบเครื่องและสมดุล ในการฝึกทั้งกลยุทธ์ส่วนตัวและการรับมือความความไม่แน่นอนของโลกแห่งความเป็นจริง จึงเป็นเสมือนกระดานจำลองโลกใบนี้ให้เราได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน และค่อย ๆ ซึมซับวิธีคิด ความเข้าใจ และการยอมรับความจริงของโลกใบนี้ว่า ทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นดั่งใจเราทั้งหมด แต่เราสามารถที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ นอกจากสิ่งนี้จะช่วยให้เข้าใจตนเองแล้ว ก็ยังช่วยให้เข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้นด้วย และไม่ด่วนตัดสินกันและกันเพียงเพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพราะโอกาสเป็นเรื่องที่ทุกคนอาจมีได้เสมอ และเหนือสิ่งอื่นใด แบ็กแกมม่อนหรือเกมกระดานทั้งหลาย ย่อมสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันและกันอย่างแน่นอน

อ่านวิธีการเล่นแบ็กแกมม่อนภาษาไทยได้ที่ How to play Backgammon - กติกาและวิธีการเล่นแบ็กแกมมอน

https://foto.wuestenigel.com/backgammon-doubling-cube-on-game-board/

แถม
แม้แบ็กแกแกมม่อนจะถูกนับเป็นหนึ่งในเกมกระดานคลาสสิค แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับเหมือนหมากกระดานคลาสสิคอื่น ๆ อาจเนื่องด้วยความอคติต่อโชคชะตา ซึ่งดูเผิน ๆ จะรู้สึกว่าผลแพ้ชนะอาจไม่ได้วัดความสามารถที่แท้จริงของผู้เล่นล้วน ๆ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตจริงก็มีสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาเช่นกัน แม้ผู้คนมักจะไม่อยากยอมรับมันก็ตาม แต่การยอมรับโชคชะตานับเป็นความถ่อมตนอย่างหนึ่ง ว่าที่เราสำเร็จได้นั้น ก็เพราะสิ่งต่าง ๆ คอยช่วยเกื้อหนุน ไม่ใช่แค่เพราะตัวเราเพียงคนเดียว แต่เพราะครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ผู้คนรอบตัว ประเทศชาติ ยุคสมัย ค่านิยม ระบบนิเวศน์ ดินฟ้าอากาศ เป็นต้น คอยช่วยหนุนให้เราสำเร็จอยู่เบื้องหลังด้วยเสมอไม่มากก็น้อย
การตระหนักเช่นนี้จะทำให้เรามีสำนึกรู้คุณต่อทุกสิ่ง โดยไม่หยิ่งผยองว่าฉันทำได้เพราะความเก่งของฉันเองล้วน ๆ  ทว่า เรื่องนี้ก็คงสุดแท้แต่ทัศนะ เพราะคนที่ไม่เคยเจ็บเท้าก็มักจะลืมว่ามีเท้าอยู่ จึงไม่รู้ว่าเท้าทำงานอยากหนักหน่วงเพียงไรในการนำเราเดินไปถึงที่หมายได้สำเร็จ หรือแม้แต่ความล้มเหลวก็ตาม การยอมรับโชคชะตายังทำให้เรามองความล้มเหลวในมุมมองของความจริงมากขึ้น แยกแยะสิ่งที่คุมได้และสิ่งที่คุมไม่ได้ออกจากกัน สิ่งที่ปรับปรุงได้ก็มุ่งเน้นที่การปรับปรุงตนเอง และยอมรับว่าบางครั้งผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นความผิดพลาดของเราทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเราพยายามไม่มากพอเสมอไป สิ่งนี้ช่วยทำให้ตระหนักถึงความจริงได้มากขึ้น ไม่โทษตัวเองในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และโฟกัสเฉพาะสิ่งที่ควบคุมได้ในชีวิตก็พอ
หยินหยางต้องสมดุลในชีวิต แม้ในโลกปัจจุบันมักจะสอนกันว่าความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับตัวเองล้วน ๆ ผู้ที่สำเร็จจึงมักจะไม่ยอมรับว่าโชคก็มีส่วน เพราะจะทำให้อัตตาตัวตนรู้สึกว่าไม่พองโต คนที่ล้มเหลวก็มักจะไม่กล้ายอมรับว่าโชคก็อาจมีส่วน เพราะกลัวจะถูกมองว่าเอาแต่โทษโชคชะตาฟ้าดินแต่ไม่โทษตัวเองเลย ผู้คนจึงกดดันตัวเองมากไป ถ่อมตนน้อยไป ขาดความสมดุลหยินหยาง มีแต่หยางที่เร่งควบคุม แต่ไม่มีหยินที่จะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้ให้เป็นไปเองอย่างที่มันควรเป็น แล้วยอมรับมันอย่างที่มันเป็น ผู้คนจึงเคร่งเครียดในการพยายามควบคุมทุกสิ่งทุกต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างอย่างจนเหนื่อยล้าทั้งกายทั้งใจ
การกลับมายอมรับโชคชะตา ปล่อยให้บางสิ่งที่ไม่อาจควบคุมเป็นไปอย่างที่มันเป็น แล้วเราก็เดินหมากในสิ่งที่เป็นตาเดินของเราอย่างสุดความสามารถก็พอแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตา แต่สำคัญคือได้ทำสุดความสามารถจริง ๆ แล้วหรือยังต่างหาก เพราะหากทำสุดความสามารถแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
แบ็กแกมม่อนจึงเป็นเกมที่นำหลักคิดไปประยุกต์ใช้และรับมือในชีวิตประจำวันได้อย่างดีไม่แพ้หมากกระดานคลาสสิคต่าง ๆ และไม่ได้ด้อยกว่าในด้านคุณค่าในการฝึกตนแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นเกมที่กล้าหาญเกินไปในการสะท้อนความจริงแท้ของชีวิต ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้ขัดแย้งกับอุดมคติที่คนส่วนใหญ่ให้ค่า แต่เมื่อมองให้ลึกแล้ว แบ็กแกมม่อนคือกระดานจำลองโลกแห่งความจริงให้เราได้สัมผัสทั้งหยินและหยาง โชคและกลยุทธ์ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้และสิ่งที่ควบคุมได้ ฯลฯ ทั้งคู่ไปพร้อม ๆ กัน
ดังนั้น แบ็กแกมม่อนสามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับบำเพ็ญตนฝึกฝนปัญญาได้อย่างสมดุล และให้คุณค่าอันคู่ควรเฉกเช่นเดียวกับหมากกระดานคลาสสิคท่ี่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ

วิญญูชนอาศัยการมอบตนให้โชคชะตา[อุทิศชีวิต]เพื่อบรรลุปณิธาน
君子以致命遂志
-คัมภีร์อี้จิง
กว้าที่ 47 คุ่น (困) ส่วนเซี่ยง (象)

เต๋าปกติไร้กระทำแต่ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกกระทำ
道常無為而無不為
-คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง บทที่ 37

ทุกสิ่งที่ได้ทำไป สองในสามส่วนต้องอยู่ในการคำนวณ อีกหนึ่งส่วนนั้นปล่อยไว้ให้โชคชะตา
-นโปเลียน
หลักพิชัยสงครามนโปเลียน

อ้างอิง