Sponsor

30 ธันวาคม 2563

The answer to life, the universe, and everything - คำตอบของชีวิต, จักรวาล, และสรรพสิ่ง

https://jonathanbossenger.com/the-answer-to-life-the-universe-and-everything/

"อย่าตื่นตระหนก คำตอบของชีวิต, จักรวาล, และสรรพสิ่ง คือ 42"

ถ้าคุณรู้ว่าตัวเลขนี้มาจากไหนก็นับว่าเนิร์ดไม่ใช่เล่น ๕๕๕บวก

42 ตัวเลขนี้ได้รับการตีความมามากมายตลอดหลายปีว่าทำไมคำตอบของชีวิตฯถึง = 42 นั่นสิ ทำไมหว่า?

ซึ่ง...
เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ๕๕๕บวก

แต่ถ้าให้เราตีความนะ เราเห็นว่า 42 ในเลขฐานสิบน่ะมัน = 101010 ของเลขฐานสอง ทีนี้เจ้า 101010 จะเทียบได้กับ ䷿ (ขีดตัด = 0 , ขีดเต็ม = 1) พอดี ซึ่งเป็นกว้าในคัมภีร์อี้จิงที่ชื่อว่า 未濟 แปลว่า ยังไม่เสร็จสิ้น, ยังไม่ข้ามฟาก, ก่อนเสร็จสิ้น ฯลฯ ความหมายก็ราวๆนี้ ดังนั้นเราจึงตีความสรุปเอาเองมั่วๆเลยว่า คำตอบของชีวิตฯ = 42 ก็เพราะว่า มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังคงพัฒนาต่อไปได้อีก เหมือนการพยายามตีความมั่วๆอันนี้ ที่ก็พยายามเกิ๊น (ก็โยงไปได้เนาะเรา ๕๕๕บวก) แต่ว่า อย่าตื่นตระหนก! เพราะคำตอบคือ 42 ๕๕๕บวก

โอเค รั่วไว้ประมาณนี้ มีใครอยากตีความอย่างไรอีกบ้างครับว่า ทำไมคำตอบของชีวิตฯ = 42 เม้นฮาๆเล่นๆกันได้ อย่าให้ใครผูกขาดการตีความแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นเองก็ตาม ๕๕๕บวก

=======
ถ้าไม่เชื่อว่าคำตอบของชีวิตฯ = 42 ลองเอาวลีนี้ภาษาอังกฤษไปค้นใน Google ดูครับ
The answer to life, the universe, and everything.

29 ธันวาคม 2563

การทำนายด้วยเลขฐานสอง 6 หลัก

ภาพถ่ายโดย Joey Kyber จาก Pexels

เรามาเสี่ยงทายทำนายดวงด้วยแนวทางสนุกๆง่ายกันเถอะ!

การทำนายนี้เราเอาแนวคิดมาจากอี้จิง ที่มี       และ       6 เส้น เราก็เอามาแปลงเป็นเลขฐานสอง 6 หลักแทน โดยให้       = 1 และ        = 0 โดยหลักหน่วย(ขวาสุด)แทนเส้นล่างสุดแล้วค่อยๆไล่ขึ้นมาทางซ้ายจนถึงเส้นบนสุด 
การตีความเพื่อทำนาย เราก็ยำจากหลายแหล่งเอามาทำให้ง่าย หลักๆก็เพื่อความสนุกสนานในการตีความขำๆเอาเองส่วนตัว บางทีถ้าตัดสินในไม่ได้ ว่าควรทำยังไงดี ก็อาจใช้ช่วยตัดสินใจได้บ้างไม่มากก็น้อย แถมเป็นลำดับขั้นอีกต่างหาก

6 หลักก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ครึ่งขวากับครึ่งซ้าย
xxxxxx ครึ่งขวา คือ สิ่งที่ควรทำก่อน
xxxxxx ครึ่งซ้าย คือ สิ่งที่ควรทำหลัง(อนาคต)

โดยใน 2 ส่วนมี 3 หลัก แบ่งทีละหลักออกเป็น
xxx หลักที่1 คือ การเริ่มต้น; แหล่งที่มาของข้อมูล
xxx หลักที่2 คือ การขบคิดเพื่อตัดสินใจ; ขั้นตอนการประมวลผล
xxx หลักที่3 คือ การลงมือทำ; ผลลัพธ์

โดยตัวเลขจะมี 0 และ 1 ซึ่ง
0 คือ หยิน, ภายใน, ตัวเอง ฯลฯ หรืออะไรที่เป็นแนวของการรับความคิดเห็นจากภายในหรือทำสู่ภายใน
1 คือ หยาง, ภายนอก, คนอื่น ฯลฯ หรืออะไรที่เป็นแนวของการรับความคิดเห็นจากภายนอกหรือทำสู่ภายนอก

ส่วนที่เป็นตัวเลขนี่แหละครับที่สนุกว่าเราจะตีความมันอย่างไร โดยใช้หลักเกณฑ์ตามที่เราเสนอไว้ให้แล้วข้างต้นนั่นเอง

=======

งั้นมาลองดูตัวอย่างกันครับ เช่น 101011

101011 การเริ่มต้นต้องเริ่มโดยดูจากคนอื่นก่อน ดูจากภายนอก
101011 การตัดสินใจลองฟังความคิดเห็นให้หลากหลายก่อน
101011 การลงมือทำให้ทำด้วยตนเองเพื่อตนเอง

ส่วนที่ต้องทำก่อน 101011 ได้จบลงแล้ว เมื่อทำส่วนนี้เสร็จแล้วภายหลังควรทำอะไร มาดูกันต่อ

101011 ก็เหมือนเดิมครับ กลับมาสู่หลักที่1 ของส่วนที่ 2 คือการเริ่มต้นสู่ภายนอก
101011 ขบคิดด้วยตนเอง
101011 ทำประโยชน์สู่ผู้อื่นหรือร่วมกับผู้อื่น

หรืออะไรทำนองนี้ ก็ลองตีความกันดูตามบริบทที่ต้องการได้เลย โดยเฉพาะถ้าเข้าใจเรื่องหยิน(0)หยาง(1)ว่ามันเป็นอะไรได้บ้างก็จะขยายไปสู่ขอบเขตสิ่งของได้อีกอย่างกว้างขางเลยครับ หรือจะเทียบเป็นคู่ๆ อย่างเช่นหลักที่1 ของทั้ง 2 ส่วน(Ex. 101011) แล้วลองตีความแบบอื่นๆดูก็ได้ครับ

แล้วจะสุ่มตัวเลขมาตีความเล่นกันอย่างไรกันดีล่ะ? ก็สามารถทอย 6 เหรียญก็ได้ ให้หัว=1 ก้อย=0 โดยเรียงตามที่เหรียญกระจายไป จะดูแนวซ้ายขวาหรือบนล่างก็แล้วแต่ หรือจะใช้แอปสุ่มเลขฐานสองก็ได้ อย่างเราเองชอบทอยเหรียญโดยใช้ลิ้งค์นี้เลย สุ่มทอย 6 เหรียญ เราตั้งค่าไว้แล้ว แค่คลิ๊กปุ๊บก็ทอยให้เสร็จสรรพ 6 เหรียญผ่านเว็บ random.org เป็นการสุ่มแท้(True random)ไม่ได้สุ่มด้วยรหัสโปรแกรม

ส่วนการตีความที่ซับซ้อนกว่านี้เช่น เทียบส่วนครึ่งหน้ากับครึ่งหลัง ในแนว ไฟบนทะเลสาบล่าง อันนี้ก็เป็นการตีความแนวอี้จิงซึ้งต้องไปศึกษาเรื่องตรีลักษณ์เพิ่มเติมนะครับ เพราะการตีความแบบอี้จิงจะมีความซับซ้อนสูงมาก อันนี้เราไม่ไปขนาดนั้นแค่เอามาตีความกันเล่นๆกับ 6 หลักเลียนแบบอี้จิงเท่านั้นเอง

อันนี้เราก็แนะนำการตีความแบบขำๆสนุกๆนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการนำไปเล่นทำนายทายทักเพื่อรับคำแนะนำจากจักรวาลกันต่อไป อั่ยยะ ๕๕๕บวก ไม่แน่ว่าผลการสุ่มอาจมาจากคำแนะนำจาก Entropy แห่งจักรวาลก็เป็นได้ ไม่แน่ว่าท้ายที่สุดอาจเข้าถึงลำดับขั้นวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นล่วงรู้อนาคตก็ได้! ใครจะไปรู้ อิอิ

การเสี่ยงทาย
อาจคือ
การขอคำแนะนำ
จาก Entropy

ภาพถ่ายโดย Jimmy Chan จาก Pexels

42: The answer to life, the universe, and everything.
ภาพจาก https://timeguide.wordpress.com/2015/02/05/42-the-answer-to-life-the-universe-and-everything/

27 ธันวาคม 2563

How disable F@H starting on startup - การตั้งค่า Folding@home ปิดการรันอัตโนมัติเมื่อเปิดเครื่อง

ในรูปตั้งค่าเป็น 0 เพื่อเปิดการรันอัตโนมัติ

เข้าไปที่ Configure -> Expert -> Extra client options
แล้วกรอกลงในช่อง

Add Name: pause-on-start
Value: 1

*ช่อง Value ใส่ 1 หรือ True เมื่อต้องการปิดการรันอัตโนมัติ หรือ ใส่ 0 หรือ False เมื่อต้องการเปิดการรันอัตโนมัติ

เป็นอันเรียบร้อยครับ

=======
โครงการ Folding@home เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาการรักษาโรคต่างๆรวมถึง #COVID19 ทุกท่านสามารถเข้าร่วมได้เพียงแค่ติดตั้งโปรแกรมแล้วต่อเน็ตเพื่อรับชิ้นส่วนงานวิจัย โปรแกรมจะทำการประมวลผลอัตโนมัติ เคยเขียนไว้ในบทความ Folding@home ร่วมประมวลผลโปรตีนเพื่อรักษาโรคด้วยกันครับ สามารถคลิ๊กเข้าไปอ่านรายละเอียดกันได้ครับ
สำหรับชาว Linux ก็ให้ติดตั้งทั้ง 3 ไฟล์นั้นเลยครับตามลำดับ บางไฟล์อาจต้องการแพ็คเก็จเพิ่มก็พิมพ์ชื่อตามนั้นแล้วค้นหาจากอินเตอร์เน็ตได้ไม่ยากครับ

ศึกษาเพิ่มเติม

26 ธันวาคม 2563

ปริศนาธรรมจากเรื่องไซอิ๋ว


ไซอิ๋วกี่ หรือ ซีโหยวจี้(西游记 ; 西遊記) ภาษาอังกฤษเรียก Journey to the West แปลตรงตัวว่า “บันทึกการเดินทางสู่ตะวันตก” หรือที่บ้านเราเรียกสั้นๆว่า “ไซอิ๋ว” เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยเอาบันทึกประวัติการเดินทางจริงของพระถังซัมจั๋ง(เสวียนจั้ง, 玄奘) ในไซอิ๋วไม่ใช่ประวัติการเดินทางตามตัวอักษรบันทึก แต่เป็นการแต่งเรื่องราวขึ้นใหม่โดยใช้บันทึกเป็นการอ้างอิง(บันทึกจริงแปลไทยอ่านได้จากหนังสือ “พระถังซัมจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง”)

เป็นวรรณกรรมที่ดูสนุกอ่านสนุกรู้จักกันทุกเพศทุกวัย แต่มีน้อยคนที่จะรู้ถึงปริศนาธรรมที่ซ่อนอยู่ในเรื่องตลอดทั้งเรื่อง ทุกสิ่งที่ถูกพูดถึงมีความหมายทั้งสิ้น ผมจะเล่าให้ฟังสักเล็กน้อยพอเป็นสังเขป ...เริ่มกันเลย
พระถังซัมจั๋ง แทนด้วย ขันติ
ม้าขาว แทนด้วย วิริยะ
เห้งเจีย แทนด้วย ปัญญา แต่เป็นปัญญาที่ยังเถื่อนอยู่ ยังต้องได้รับการขัดเกลา
โป๊ยก่าย แทนด้วย ศีล เป็นศีลที่ยังเถื่อนอยู่เช่นกัน
ซัวเจ๋ง แทนด้วย สมาธิ เป็นสมาธิที่ยังซึ่มกระทื่อโง่งมอยู่
เริ่มตอนที่พระถังซัมจั๋งพาเห้งเจียออกมาจากภูเขาห้ายอดก็แล้วกันครับ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางไปเจอกับโจร 6 คน จะเข้าทำการปล้นพระถัง เห้งเจียขวางไว้แล้วพูดคุยถามชื่อแซ่ได้ความว่าโจรทั้ง 6 ชื่อ(แปลไทยแล้ว) คือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย(ผิวสัมผัส), ใจ เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นหลานเหลนของข้านี่เอง เจ้าปล้นอะไรมาได้เอามาแบ่งกับข้าแล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” แต่โจรไม่ยอมให้จึงสู้กัน เห้งเจียเลยตีตายหมดเลย พระถังก็ไม่พอใจว่าเห้งเจียโหดร้ายเหลือเกิน ทั้งคู่เลยทะเลาะกันดังลั่นป่า เห้งเจียเลยเหาะหนีไปดื่มชากับพระยาเล่งอ๋องใต้บาดาล
สรุปตรงนี้ก่อน โจรทั้ง 6 นั่นเป็นการเปรียบถึง อายตนะ6 ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ(ขอเรียกสั้นๆว่า “อายตนะ” ก็แล้วกัน) อายตนะเป็นที่ใช้รับรู้สิ่งรอบๆตัว ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปจัดการแล้ว อายตนะก็เปรียบเสมือนโจรที่คอยปล้นสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส จนหลงติด(อารมณ์6) มามอมเมาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นการฆ่าชีวิตทางธรรม(ฆ่าพระถัง)ได้เลย เพราะมันคือ อวิชา(ความไม่รู้) อายตนะนั้นเป็นลูกหลานของปัญญา(เห้งเจีย) ที่เห้งเจียบอกว่า “ปล้นอะไรได้ ให้มาแบ่งกัน” ก็หมายถึง อายตนะที่ได้รับสิ่งต่างๆ ถ้าเอามาผ่านปัญญากลั่นกรองก่อนจึงจะนำมาเป็นความรู้ได้ จึงจะเกิดประโยชน์ได้ แต่เนื่องจากอายตนะยังเถื่อนอยู่นั่นเอง เห้งเจียจึงต้องตีตายเพื่อปกป้องพระถังเอาไว้ก่อน
การที่พระถัง(ขันติ) กับเห้งเจีย(ปัญญา) ต้องทะเลาะกันก็เพราะว่า ขันติ มักไม่ค่อยใช้ปัญญา เอะอะก็จะอดทนอดกลั้นอย่างเดียว ทน ทน ทน ทนอย่างเดียวไม่คิดแก้ปัญหาด้วยปัญญาเลย ทำให้ขันติที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาจึงไม่ลงรอยกับปัญญาที่ยังเถื่อนอยู่นั่นเอง เมื่อขันตินำหน้า ปัญญาจึงหลบไปจิบชาใต้บาลซะเลยไงล่ะ
แต่หลังจากนั้นเจ้าแม่กวนอิม(เมตตา)ก็ได้มาเตือนพระถังว่า “ถ้าไม่มีเห้งเจีย(ปัญญา)จะไปไม่ถึงไซที(นิพาน)” จึงมอบ “เสื้อคลุม และห่วงมงคล” แล้วจึงบอกว่าจะไปตามเห้งเจียกลับมา
เสื้อคลุม หมายถึง การเฝ้าดูจิตอยู่ตลอด ส่วนมงคล 3 ห่วงแทน ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัน อนัตตา เมื่อเอามามัดรวมกันเป็นห่วงเดียวจะเป็น “สูญตา” เป็นห่วงกลมๆไว้ครอบหัวปัญญา เมื่อไหร่ที่ปัญญามันดื้อ มันคิดว่ามันเป็นเจ้าเหนือทุกอย่างยึดติดสิ่งต่างๆ ก็ให้ใช้ ไตรลักษณ์ นี่แหละคอยคุม คอยเฝ้าดูจิต จะได้ไม่ยึดติดเป็นอัตตาตัวตน(จะได้ใช้กันตามประโยชน์ใช้สอยด้วยปัญญา)
นี่เป็นการ “จับแก่น” ของวรรณกรรมเรื่องนี้ และการ “จับแก่น” นี้สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งรอบตัวครับ เราจะนำสิ่งต่างๆมาเป็นความรู้ และรู้ถึงความนัยได้ นอกจากสนุกแล้วยังสามารถจับสาระได้มากกว่าคนทั่วไปด้วย จึงลองอ่าน เรียนรู้ สิ่งต่างๆรอบๆตัวแบบ “จับแก่น” ดูแล้วคุณจะได้อะไรมากกว่าที่เคยเห็น แต่การจะ “จับแก่น” ได้ก็จำเป็นต้องเรียนรู้การเชื่อมโยงจากการเรียนรู้จากคนที่ “จับแก่น” เป็นมาก่อน เช่นการอ่านหนังสือดีๆเพื่อยกระดับความคิดเป็นต้นครับ อย่างเรื่องที่นำมาเล่านี้ ท่าน “เขมานันถะ” เขียนไว้ในหนังสือ “ลิงจอมโจก” สามารถหามาอ่านกันได้ซึ่งอธิบายเรื่องไซอิ๋วไว้อย่างละเอียด แต่ผมขอแนะนำว่าให้อ่าน “ไซอิ๋วฉบับเต็ม” ให้จบก่อนครับ เพื่อความลึกซึ้งและสามารถร่วม “จับแก่น” ไปได้ด้วยตนเองต่อไปครับ
เรื่องราวก็ประมาณนี้แลครับ ต่อมั้ยครับ ดูถ้าจะยาวมากแล้ว ๕๕๕บวก ไว้ถ้าสนใจอย่างไรช่วยเม้นบอกกันหน่อยครับ แล้วผมจะย่อยใหัฟังต่อนะครับ ขอบคุณครับ

24 ธันวาคม 2563

การถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบุ๋นและบู๊ในพงศาวดารจีน


 พงศาวดารจีนได้พูดถึงการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบุ๋นและบู๊เอาไว้เหมือนกันนะ

จำตอนขงเบ้งบัญชาการใหญ่ครั้งแรกได้มั้ยครับ ขงเบ้งซึ่งเป็นฝ่ายบุ๋นไม่มีกำลังจะไปบังคับใครได้ ขณะที่กวนอูเตียวหุยฝ่ายบู๊นั้นก็ไม่ยอมรับ คุยกันว่าถ้าสั่งอะไรมาจะไม่ทำ จะยึดอำนาจเลยด้วยซ้ำไป สิ่งที่ขงเบ้งทำเพื่อถ่วงดุลอำนาจคืออะไร? สิ่งที่ขงเบ้งทำก็คือ
ขอกระบี่อาญาสิทธิ์
จะเห็นว่าระบบการปกครองของจีนเมื่อหลายพันปีก่อน มีระบบระเบียบที่ชัดเจนและเคร่งครัด สมดุล ไม่ป่าเถื่อนตามกำลังอาวุธที่มี แต่มีระบบแบบอารยะ นี่คือการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบุ๋นต่อฝ่ายบู๊ ที่ต้องมีสิทธิ์อำนาจในการบัญชา
ระบบการเมืองการปกครองของประเทศก็ต้องออกแบบให้ถ่วงดุลอำนาจเช่นนี้เหมือนกัน
ฝ่ายสำนักงาน(บุ๋น)กำหนดออร์เดอร์ ฝ่ายโรงงาน(บู๊)จัดทำออร์เดอร์ งานจึงราบรื่น ประเทศก็เช่นกัน การถ่วงดุลอำนาจฝ่ายพลเรือน(บุ๋น)ต่อฝ่ายทหาร(บู๊)ก็ต้องเป็นไปในแบบเดียวกันนี้ อย่างที่กล่าวไว้เมื่อวาน
หนังสือคือขุมทรัพย์ ในพงศาวดารจีนสอดแทรกอะไรไว้มากมาย อ่านหนังสือโบราณขบคิดปัจจุบัน ก็สนุกไม่ใช่น้อยเลยนะครับ ในเรื่องนี้เราก็เข้าใจประมาณนี้นะ หากผิดพลาดประการใดขอวอนผู้รู้โปรดชี้แนะด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 😇

23 ธันวาคม 2563

บุ๋นและบู๊ เป็นหน่วยงานที่มีคู่กันตลอด

ภาพถ่ายโดย JESHOOTS.com จาก Pexels

บุ๋นและบู๊ เป็นหน่วยงานที่มีคู่กันตลอด อาจแปลว่า ฝ่ายพลเรือน(บุ๋น)และฝ่ายทหาร(บู๊) และทั้งสองหน่วยงานนี้ต้องทำงานควบคู่กันไปจึงจะเกิดผลงานต่อแคว้นได้ จะมีแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ หากเปรียบเป็นบริษัท บุ๋นก็คือฝ่ายออฟฟิศ บู๊ก็คือฝ่ายโรงงาน ออฟฟิศ(บุ๋น)กำหนดทิศทางและออร์เดอร์ โรงงาน(บู๊)รับออร์เดอร์แล้วดำเนินงาน ในงานใหญ่ย่อมขาดฝ่ายใดไม่ได้เลย โดยปกติ เรามักจะชื่นชอบคนสายบู๊ว่าเท่ห์ แต่เมื่อทำงานจริงมักนิยมบุ๋น(งานนั่งโต๊ะ) แม้กระทั่งคนที่เป็นสายบู๊ยังอยากมานั่งตำแหน่งสายบุ๋น ซึ่งเราน่าจะได้เห็นกันมาตลอดในรอบหลายปีนี้ว่า การใส่คนผิดประเภทหน้าที่ทำให้การดำเนินงานสับสนวุ่นวายขนาดไหน คนสายบู๊มานั่งตำแหน่งบุ๋น คนสายบุ๋นไร้ตำแหน่งเพราะถูกแย่งที่จากคนที่มีกำลังมากกว่า แคว้นจึงไร้ที่ปรึกษาและไร้ทิศทาง มีแต่การแก้ปัญหาตรงหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งหากไร้วิสัยทัศน์ การแก้ปัญหาตรงหน้าไปเรื่อยๆจะสร้างปัญหาใหม่มาเรื่อยๆด้วยเช่นกัน เช่น การแก้ปัญหาเล็กๆอันหนึ่งโดยไม่ยอมถอยเลย อยากชนะให้ได้ตลอด(บู๊) จนทำให้เกิดความย้อนแย้งในปัญหาใหญ่ของข้อกฎหมายตามมาในภายหลังได้ เป็นต้น จนปั่นป่วนและดูไร้มาตราฐานในแว่นแคว้นได้
อันที่จริง ฝ่ายบู๊จะมีความก้าวร้าวบ้างย่อมเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ฝ่ายบุ๋นต้องใจเย็นและขบคิด แล้วถ้าฝ่ายบู๊มานั่งตำแหน่งบุ๋นก็จะกระโชกโฮกฮ้าก เหมือนเอาเตียวหุยมาบัญชา เอาขงเบ้งไปเป็นพลทหาร พังกันหมด หากบุ๋นและบู๊ได้นั่งที่ของตัวเอง วัฏจักรก็จะเลื่อนไหลไปอย่างที่ควรจะเป็น ช้าเร็วไม่ว่ากัน แต่หากบุ๋นและบู๊ไม่ได้นั่งที่ตัวเองวัฏจักรย่อมติดขัด กลับหัวกลับหาง ย้อนแย้ง และแตกสลาย ในชีวิตก็เหมือนกัน ก่อนที่จะทำอะไร ต้องคิด(บุ๋น)ก่อนทำ(บู๊) ไม่ใช่หรือ เพราะหากทำ(บู๊)ก่อนคิด(บุ๋น) จะนำไปสู่ปัญหาต่อไปเรื่อยๆโดยไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร

จากสายงานในบริษัท ฝ่ายสำนักงาน(บุ๋น)กำหนดออร์เดอร์ ฝ่ายโรงงาน(บู๊)จัดทำออร์เดอร์ งานจึงราบรื่น ประเทศก็เช่นกัน การถ่วงดุลอำนาจฝ่ายพลเรือน(บุ๋น)ต่อฝ่ายทหาร(บู๊)ก็ต้องเป็นไปในแบบเดียวกันนี้

บุ๋นบู๊ หยินหยาง แจกแจงได้ไม่จบสิ้น ในหยินก็มีหยาง ในหยางก็มีหยิน แยกย่อยได้เรื่อยไป และต้องเป็นไปอย่างสมดุล ภาพรวมก็คงประมาณนี้ หากผิดพลาดประการใดก็ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยแถลงไขด้วยนะครับ น้อมรับเสมอ ขอบคุณครับ 😇

20 ธันวาคม 2563

Goregrind - บทเพลงแห่งการบดขยี้ ภาค 2

จากที่ได้ทำบทความภาคแรกไปคราวก่อน บทเพลงแห่งการบดขยี้นี้มันมีอะไรที่ต้องพูดถึงอีกมายมายจากความรู้สึกเมื่อได้ฟัง บทเพลงทั่วไปจะเดินไปด้วยเนื้อร้องและทำนองที่พาเราไปตลอดเพลง แล้ววนซ้ำกลับมาท่อนฮุคที่ทำนองสวยงามโดดเด่น แต่ Goregrind หรือ Brutal death metal (ขอเรียกสั้นๆว่า Gore) นั่นก็อาจจะมีเนื้อร้องบ้างบางเพลง(ซึ่งอาจฟังไม่ออกเลย) แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแนวของอารมณ์เสียมากกว่า หากให้เปรียบเทียบจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า Gore เป็นอีกขั้วหนึ่งของเพลง Classic ซึ่งเพลง Classic มักจะบรรเลงโดยไม่มีเนื้อร้อง มีตั้งแต่ธรีมโรแมนติกไปจนถึงสงครามอวกาศ(เช่น สตาร์วอร์) ในขณะที่ Gore ก็เช่นกันแต่เป็นธรีมที่สุดขั้วไปอีกขั้น อาจเรียกได้อีกอย่างว่า Extream classical music อันนี้ตั้งเองนะ ๕๕๕บวก เพราะไม่ว่าคุณจะฟังเพลง Classic หรือ Gore คุณจะเห็นเป็นเรื่องราวเหมือนกำลังดูภาพยนตร์ บางเพลงเห็นเป็นฉากๆ บางเพลงอาจแค่รู้สึกถึงอารมณ์ที่ค่อยๆคลี่คลายไปตามตัวเพลง โดยเพลง Gore จะเป็นแนวโหดๆ ไม่ว่าจะเป็นเสมือนหนังผี, ฆาตรกรรม, ฆาตรกรโรคจิต, มนุษย์กินคน, เอเลี่ยนบุกโลก, สัตว์ประหลาดหลุดจากแล็บ และความอุจาดอาจมต่างๆ ฯลฯ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันคืออีกแนวหนึ่งที่มีอยู่จริง และแนว Gore สร้างพล๊อตแนวนี้ออกมาได้อย่างมีมิติที่น่าสนใจ นี่คือความต่างจากเพลงทั่วไป(แต่คล้าย Classic) ที่มันให้ความรู้สึกและอารมณ์เหมือนดูภาพยนตร์ ซึ่งแต่เดิมในยุคที่ยังไม่มีภาพยนตร์ เพลง Classic สมัยก่อนก็ถูกแสดงในโรงละครไม่ต่างการไปดูภาพยนตร์ในโรงหนังของสมัยนี้เลย เพลง Gore มีอิสระที่จะใส่ลำนำและซาวด์ประกอบแปลกๆเพื่อดึงให้ธรีมเพลงโดดเด่นขึ้นไปอีก หลายคนที่ไม่คุ้นเคยอาจคิดว่ามีแต่เพียงดนตรีแบบ Metal หรือ Rock เท่านั้นที่ทำแบบนี้ จริงๆวงดนตรี Jazz เองก็มีเช่นกัน อย่างวง Naked City หากเป็นแนวอนิเมชั่นที่เราจัดให้อยู่แนว Gore ก็ต้องเรื่อง Happy tree friends
อีกเรื่องที่อยากพูดถึงคือสไตล์การแต่งตัว ถ้าเป็นแนวเพลงอื่นๆอย่าง Hip-Hop, Punk, Rock, Latin, Hard core, Metal, Death Metal, ฯลฯ จะมีสไตล์การแต่งตัวที่เห็นแล้วรู้ได้เลยว่าน่าจะเป็นแนวๆนั้น แต่สำหรับ Gore ซึ่งเป็นบเพลงที่หนักหน่วงที่สุดในพิภพ ณ ขณะนี้ น่าจะแต่งตัวโหดยิ่งกว่า Death Metal หรือ Hard core ใช่มั้ย แต่ไม่ใช่เลย นักดนตรี Gore ส่วนใหญ่แต่งตัวปกติธรรมดา เสื้อยืดกางเกงยีนส์ บางทีใส่ขาสั้นสวมหมวกแก๊ป ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาเล่นเพลงหนักหน่วงขนาดไหน อาจเผลอคิดไปว่าพวกเขาเป็น DJ ในคลับก็เป็นได้ แต่ลายพิมพ์บนเสื้ออาจบอกใบ้อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะ Gore นั่นขยายกว้างออกไปไม่ใช่แค่เสียงเพลง แต่รวมไปถึง Artwork หน้าปกอีกด้วย เป็นงานศิลป์ที่ทำออกมาจากอย่างตั้งใจ แม้ภาพจะดูโหดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันวาดได้สวยจริงๆ ทำให้มีเสื้อลวดลาย Gore ออกมาจำหน่ายควบคู่ไปกับเพลง ซึ่งเห็นได้จากเพื่อนใกล้ตัวที่เป็นสาย Gore แบบเต็มสูบ ฟังเพลงโหดแต่เขาก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรเลย เป็นคนเรียบร้อยและใจดีซะด้วยซ้ำไปครับ

การฟังเพลงก็เพื่อความบรรเทิง Gore เองก็เป็นความบรรเทิงอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ความโหดร้าย แต่มันคือความสนุกในอีกแนวหนึ่งที่แปลกออกไปก็เท่านั้นเอง ถ้าเรียกดนตรี Gore ว่าวงออเครตร้าได้ นักร้อง Gore ต้องคือนักโอเปร่าดีๆนี่เอง และอาจได้เห็นการสร้างสรรค์มากมายอยู่ในนั้น
การหัดฟังเพลง Gore ก็เหมือนการหัดฟังเพลง Classic ครั้งแรก ที่หลายคนรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ให้ตระหนักไว้ว่า เราอย่าหาเพลงแต่ต้องให้เพลงหาเรา ให้ฟังไปเรื่อยๆอย่างกว้างขวาง แล้วเราจะเจอเพลงและธรีมที่ถูกโฉลกกับเราเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือ เพลง Gore ใช้ฟังเพื่อระบายโทสะได้เป็นอย่างดีเลย ถ้าเครียดกับงาน หรือปวดหัว ลองฟัง Gore มันอาจช่วยคุณได้นะ (สรรพคุณชักจะเยอะเกินไปแล้วแฮะ เดี๋ยวจะกลายเป็นยาผีบอกไปอีก ๕๕๕บวก)

เมื่อหยินสุดขั้วก็กลายเป็นหยาง เหมื่อหยางสุดขั้วก็กลายเป็นหยิน เพลง Gore ก็กลายเป็น Classic เฉย ๕๕๕บวก เอาเถอะครับ ลองไปฟังกันดู เปิดโลกพอสมควรเลยทีเดียวล่ะครับว่า มีเพลงแบบนี้อยู่ในโลกด้วยเว้ยเฮ้ย!

งั้นมาลองฟังกันดูว่าคุณเห็นฉากอะไรในบทเพลงชุดนี้บ้าง


อรรถรสใช่มั้ยล่า!!!

15 ธันวาคม 2563

เมื่อคิดว่าตัวเองเก่งพอแล้ว

เมื่อคิดว่าตัวเองเก่งพอแล้ว จะเจอเหตุการณ์ที่บอกเราว่าเรายังไม่เก่งพอ จึงสั่งสมฝีมือ เมื่อเริ่มคิดว่าเก่งพอแล้ว ก็จะเจอเหตุการณ์ที่บอกเราว่าเรายังไม่เก่งพอ จึงสั่งสมฝีมือ วนลูปอยู่แบบนี้เพราะเกรงว่า "ยังเก่งไม่พอ" "รอให้เก่งกว่านี้ก่อน" จนไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย แล้วเมื่อไหร่เราจะเก่งที่สุดนะ? ในเมื่อคนเราพัฒนาขึ้นได้ทุกวัน วันหนึ่งจึงตกผลึกได้ว่า อันที่จริงเราแค่ทำให้สุดฝึกมือ ณ ขณะนี้ก็พอ แต่นอนว่าคราวหน้าเราอาจทำได้ดีกว่านี้ แต่นั่นเป็นเรื่องของคราวหน้า หากเราทำสุดฝีมือแล้ว แม้มีข้อผิดพลาดแต่เราจะไม่เสียใจ แล้วก้าวเดินไปพร้อมกับผลงานที่เติบโตตามช่วงชีวิต

ถ้าเราไม่โพสต์บทความนี้ แล้วแก้ไขไปเรื่อยๆจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตบทความนี้ก็อาจจะดีกว่านี้ แต่มันก็เท่านั้น
ก็ผลงานที่ไม่เคยแสดงดีที่สุดเสมอ เพลงที่ไม่บรรเลงเพราะที่สุดเสมอ เพราะผลงานที่สมบูรณ์แบบไม่เคยถูกสร้าง ผลงานที่ถูกสร้างไม่เคยสมบูรณ์แบบ

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านทำอย่างสุดฝีมือ "ณ ขณะนี้"😇

03 ธันวาคม 2563

พิชัยสงครามสุมาอี้

พิชัยสงครามสุมาอี้

軍事大要有五:能戰當戰,不能戰當守,不能守當走,不能走當降,不能降當死耳。

การทัพหลักใหญ่มีห้า: รบได้ควรรบ, รบไม่ได้ควรกัน, กันไม่ได้ควรหนี, หนีไม่ได้ควรยอม, ยอมไม่ได้ควรตายแล้ว.

จากพงศาวดารสามก๊ก ฉบับภาษาจีนตอนที่ 106 (三國演義,第一百六回)

=======
สั้นกระชับแต่กินความมาก ถูกกล่าวไว้ในพงศาวดารสามก๊กตอนที่สุมาอี้ยกทัพไปรบกองซุนเอี๋ยน ในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 79 ได้ให้ความไว้ว่า

สุมาอี้จึงตอบว่า อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ ประการหนึ่งเห็นว่าจะต้านทานได้ก็ให้คิดออกมารบพุ่งจงสามารถ ประการหนึ่งถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่งให้รักษาเมืองจงมั่นคง ประการหนึ่งถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ให้หนีเอาตัวรอด ประการหนึ่งแม้ไม่หนีก็ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีจะมีชีวิตสืบไป ประการหนึ่งถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็ควรที่จะตาย

ซึ่งชัดเจนและเห็นภาพได้เป็นอย่างดี

สามก๊กเป็นพงศาวดารที่ยอดเยี่ยมครบรส ควรค่าแก่การครอบครองและอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก การอ่านพงศาวดารจะทำให้เราเห็นภาพของความเปลี่ยนแปรและความเป็นไปในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ซึมซับทีละเล็กทีละน้อยจากเรื่องเล่าที่สนุกชวนติดตาม เข้าใจได้โดยไม่ต้องท่องจำ ลองอ่านจากบทความที่เราเคยเขียนไว้ในประโยชน์ของการอ่านพงศาวดารจีนฯ แต่ประโยชน์ของการอ่านมีมากมาย ไม่ว่าจะอ่านหนังสืออะไรก็ขอให้เราอ่านอย่างมีความสุขนะครับ

อ้างอิง