Sponsor

31 กรกฎาคม 2565

อารมณ์ที่ไม่ปกติอาจไม่ได้เกิดจากใจที่อ่อนแอก็ได้ ภาค 2

Photo by Lisa: https://www.pexels.com/photo/silhouette-of-person-holding-flower-2379722/

จากบทความก่อนที่คุยกันถึงเรื่องอารมณ์ที่ไม่ปกติอาจไม่ได้เกิดจากใจที่อ่อนแอแต่อาจเป็นเพราะอวัยวะภายในไม่สมดุล ทำให้ผมนึกถึงตำราพิชัยสงครามซุนจื่อที่พูดถึงคุณสมบัติของแม่ทัพในบที่ 1 ที่ว่ามี 5 ประการ คือ ปัญญา สัจจะ เมตตา กล้าหาญ เข้มงวด
หากว่ากันตามหลักปรัชญาจีน ทั้ง 5 ประการนี้ เป็นจิตวิญญาณ(神)ที่อยู่ในอวัยวะตันภายในทั้ง 5 เมื่อนำมาเทียบกับหลักปรัชญาจีนก็จะอธิบายได้ดังนี้

ปัญญา อยู่ในหัวใจ ถ้าหัวใจสมดุลจะมีปัญญาดี เลือดไหลเวียนไปใช้สมองได้เต็มสูบ
สัจจะ อยู่ในไต มันคือความมุ่งมั่นที่คิดอย่างไรพูดอย่างไรก็จะทำให้ได้อย่างนั้น เป็นความศัทธาในตัวเอง
เมตตา อยู่ในม้าม มันคือความรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
กล้าหาญ อยู่ในปอด ถ้าปอดสมดุลก็จะมีความซาบซึ้งกล้าที่จะปกป้องสิ่งที่รัก
เข้มงวด อยู่ในตับ มันคือวินัย คนที่ตับสมดุลดีจะเป็นคนมีวินัย

ถ้าอวัยวะเหล่านั้นเสียสมดุลหยินหยาง จะเป็นไปตามจุดอ่อนของแม่ทัพ 5 ประการในตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ บทที่ 8 คือ กล้าตาย กลัวตาย โกรธง่าย สัตย์ซื่อ รักราษฎร์
หากว่ากันตามหลักปรัชญาจีน ทั้ง 5 ประการนี้ เป็นมุมกลับของจิตวิญญาณ(神)ในอวัยวะทั้ง 5 ที่เสียสมดุล เมื่อนำมาเทียบกับปรัชญาจีนก็จะอธิบายได้ดังนี้

กล้าตาย ถ้าปอดเสียสมดุล ก็อาจจะใช้แต่ความซาบซึ้ง คิดแต่จะตอบแทนคุณจนตัวตาย ไม่คิดหน้าคิดหลัง
กลัวตาย ถ้าหัวใจเสียสมดุล ก็อาจจะใช้ปัญญาฟุ้งซ่านมากเกินไปจนตัดสินใจไม่ได้ คิดคำนวนสาระตะจนไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย
โกรธง่าย ถ้าตับเสียสมดุล ก็อาจจะทำให้เข้มงวดสุดโต่ง อะไรไม่ได้ดั่งใจนิดหน่อยก็โกรธจนขาดสติ
สัตย์ซื่อ ถ้าไตเสียสมดุล ก็อาจจะทำให้ถือสัจจะมากจนสุดโต่ง จนกลัวนู่นกลัวนี่ไปหมด ไม่กล้าทำอะไรเลย
รักราษฎร์ ถ้าม้ามเสียสมดุล ก็จะเมตตามากเกินไปกังวลมากเกินไปจนสุดโต่ง ไม่เป็นอันทำการอะไรเลย

จะเห็นว่าจุดแข็งกับจุดอ่อนมาจากสิ่งเดียวกันได้ หากจุดแข็งเสียสมดุลก็กลายเป็นจุดอ่อน และเรื่องนี้ก็ยังแสดงให้เป็นถึง อวัยวะที่ข้องกับอารมณ์ความรู้สึก คนเราอาจปรับเปลี่ยนทัศนคติได้ แต่เรื่องอารมณ์ บางที มันอาจเป็นเรื่องของร่างกายที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ แต่แน่นอนว่าจิตใจย่อมส่งผลต่ออารมณ์ด้วยเช่นกัน อวัยวะเสียสมดุลทำให้อารมณ์เสียสมดุล และอารมณ์ที่เสียสมดุลก็ทำให้อวัยวะเสียสมดุลไปอีก และเป็นวงจรอุบาทจนส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ

โดยตามหลักปรัชญาจีนพื้นฐานแล้วอารมณ์ที่กระทบอวัยวะ(ให้เสียสมดุล)และอวัยวะ(ที่เสียสมดุล)กระทบต่ออารมณ์ คือ

โกรธ<=>ตับ
ดีใจและตกใจ<=>หัวใจ
ครุ่นคิดกังวล<=>ม้าม
เศร้าโศกและเศร้าซึ้ง<=>ปอด
กลัว<=>ไต

อารมณ์อาจเกิดจากอวัยวะมากกว่าที่คิดก็ได้ และเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นมันก็จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ บางครั้งหากมีอะไรมากระทบในทางจิตใจย่อมเกิดอาการไปตามนั้นๆแล้วก็ดับไปเอง หากไม่ให้มันครอบงำจนหน้ามืดก็อาจรู้เห็นการเกิดดับของมัน เป็นเวทนาของสังขาร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ส่วนจิตใจก็เป็นอย่างที่มันเป็น ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นเราจะเลือกทำอย่างไร ที่แน่ๆคือไม่ควรกดข่มและไม่ควรแสร้งเป็นไม่สนใจ เพราะอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นเพื่อบอกอะไรบางอย่างกับเรา ไม่ได้ให้เราปล่อยให้มันครอบงำจนหน้ามืด แต่ให้เรารับฟังมันเพื่อแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง อาจเป็นปัญหาในร่างกายหรือปัญหาตรงหน้า ซึ่งอันดับแรกเราต้องรับรู้ถึงมันและยอมรับมันอย่างที่มันเป็น นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็เป็นการการบำรุงอวัยวะภายใน ดูแลร่างกายและจิตใจ ซึ่งสามารถทำได้จาก อาหาร อากาศ และออกกำลังกาย รวมถึงสมุนไพรด้วย ที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักหยินหยางและห้าธาตุของร่างกาย
ร่างกายเป็นสิ่งปรุงแต่งของธาตุต่างๆตามธรรมชาติมารวมตัวกัน สุขภาพจะดีได้ก็เกิดจากสมดุลของการปรุงแต่งนั้นๆตามปัจจัยที่รับเข้ามาในร่างกายและจิตใจ เราเป็นผู้ดูแลร่างกาย ก็ปรับปรุงบำรุงปรุงแต่งให้เป็นไปตามปัจจัย ไม่ใช่ตามปราถนาหรือตามใจ แต่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติของปัจจัยแห่งกายมนุษย์อย่างถูกต้องเหมาะสม แล้วทุกอย่างก็จะดำเนินไปในทางสมดุลหรือสายกลางตามจริงในแบบที่มันควรจะเป็นตามธรรมชาติของกายนี้
หากพูดให้ครบถ้วน ย่อมไม่ใช่แค่อวัยวะที่ต้องบำรุง อารมณ์ก็ต้องปรับปรุงด้วยเช่นกัน จากความความเข้าใจ ความรู้ และทัศนคติ เพราะมันเป็นวงจรย้อนกลับไปกระทบอวัยวะได้ การดูแลจึงต้องเป็นแบบองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน ซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งที่ทุกคนทำอยู่แล้ว แต่เรื่องอวัยวะที่เสียสมดุลที่ส่งผลต่ออารมณ์นั้น เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่แทบไม่ได้กล่าวถึงเลย กล่าวถึงเพียงสมองส่วนอารมณ์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงอวัยวะที่อาจเป็นตัวเข้าถึงสมองส่วนอารมณ์นั้น หลายคนจึงอาจไม่รู้ และอาจคิดว่าอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะใจอ่อนแอ จริงๆแล้วมันอาจเป็นแค่อวัยวะเสียสมดุลก็ได้ อาจไม่มีใครจิตใจอ่อนแอ เพราะหากอวัยวะเสียสมดุล ผลทางอารมณ์แบบนั้นก็จะเกิดขึ้นของมันเองตามธรรมชาติ ห้ามไม่ได้ และไม่ควรห้ามด้วย ในทางจิตใจเราทำได้เพียงตระหนักรู้ถึงมัน(มันแค่เป็นอย่างนั้นให้เราสัมผัสถึง) ในทางร่างกายเราทำได้เพียงบำรุงดูแล ที่เหลือก็ใช้ชีวิตเพื่อเยี่ยมเยียนโลกใบนี้
และเรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า คนเราแต่ละคนย่อมมีสันดานไม่เหมือนกันตามพื้นฐานการกักเก็บความสมดุลของร่างกายของแต่ละคน ดังนั้น อย่าพยายามเปลี่ยนใครและอย่าฝืนตัวเอง เพราะไม่มีใครเปลี่ยนได้หรือฝืนได้ อย่างไรก็ตาม แต่ละคนจะเป็นตัวเองได้แท้จริง ก็ขึ้นอยู่กับสมดุลทั้งภายในและภายนอกของตัวเขาเอง

อันนี้นอกเรื่องนิดนึง หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องเล่าที่ว่า บางคนเปลี่ยนอวัยวะภายในแล้วนิสัยเปลี่ยนไปเป็นคนละคน(อาจมีนิสัยเหมือนเจ้าของเก่าก็ได้) ซึ่งเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่อธิบายไม่ได้ แต่หลักปรัชญาจีนอธิบายได้ ก็ตามนั้นแหละครับ อารมณ์มันเกี่ยวพันธ์กับอวัยวะภายใน เพราะอวัยวะภายในมีจิตวิญญาณ(神)ของมันเองอยู่ และมีวิธีนึกคิดทางอารมณ์ในแบบของมัน โดยที่เราทำอะไรไม่ได้เมื่อมันเกิดขึ้น เราอาจไม่ใช่เจ้าของร่างกาย เป็นเพียงแต่ผู้ดูแลอาศัยเท่านั้น และร่างกายก็เป็นไปในแบบที่มันของมัน เป็นเช่นนั้นเอง ตามปัจจัยที่ปรุงแต่งกันไปของแต่ละคน เราทำได้เพียงดูแลให้ดี รับฟังมัน ใช้เป็นเบาะแส และรู้มัน
หลักปรัชญาโบราณ โดยเฉพาะหลักการแพทย์แผนโบราณ ไม่ใช่ความเชื่อ มันคือวิทยาศาสตร์ มีตรรกะในแบบของมัน เพราะผ่านการทดลองมาแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล(แต่จะได้ผลช้าหรือเร็วนั้นอีกเรื่องหนึ่ง) เพียงแค่ยุคนั้นไม่มีกล้องส่องและห้องแล็บที่จะบอกได้ว่าสมุนไพรต่างๆมันประกอบไปด้วยสารอะไรบ้าง เขาจึงอธิบายด้วยหยิน(ธาตุเย็น)หยาง(ธาตุร้อน)และห้าธาตุแทน แต่ก็เป็นการทดลองมาแล้วถึงได้รู้ว่ามันจะเย็นหรือร้อน ไม่ใช่มั่วขึ้นมา แต่ไม่ว่าการกล้องส่องหรือแล็บจะบอกว่ามันประกอบด้วยสารอะไรบ้าง มันก็ได้ผลตามแบบของมันได้เหมือนเดิมนั่นแหละ(ซึ่งข้อดีของการตรวจสอบก็คือทำให้นำไปประยุกต์ใช้ได้มากยิ่งขึ้น) และเมื่อมีการทดลองมาแล้วมันก็คือวิทยาศาสตร์แบบหนึ่งที่ใช้คำอธิบายต่างกันเท่านั้นเอง เพราะวิทยาศาสตร์ไม่ได้หมายถึงยาเคมีหรือยาสมุนไพร แต่หมายถึงกระบวนการทดลองและบันทึกผล

อารมณ์ที่ไม่ปกติอาจไม่ได้เกิดจากใจที่อ่อนแอก็ได้

Photo by Pixabay: https://www.pexels.com/photo/yellow-cube-on-brown-pavement-208147/

เมื่อศึกษาเรื่องปรัชญาจีนที่เกี่ยวกับความสมดุลของร่างกายและจิตใจที่อยู่ในอวัยวะภายใน มันทำให้ตระหนักว่า บางที การที่คนบางคนขี้โมโห ขี้กลัว หรือใดใด มันไม่ใช่เพราะเขาจิตใจอ่อนแอ แต่อาจเป็นเพราะอวัยวะภายในไม่สมดุลก็ได้ เหมือนกับที่แพทย์แผนปัจจุบันเคยพูดถึงโรคซึมเศร้าว่าเป็นเพราะเคมีในสมองไม่สมดุล ไม่ใช่เพราะจิตใจอ่อนแอ ส่วนทางปรัชญาจีน ยังมีการมองเรื่องอารมณ์ที่ไม่สมดุลว่าเป็นเพราะอวัยวะภายในไม่สมดุลด้วย เช่น โกรธง่ายเป็นเพราะตับร้อน ขี้กลัวเป็นเพราะไตพร่อง เป็นต้น หากปรับให้ตับเย็นลงได้ก็หายขี้โมโห หากบำรุงไตให้สมดุลก็หายขี้กลัว อย่างนี้เป็นต้นดังนั้น บางครั้งหากรู้สึกว่าอารมณ์ของเราไม่ปกติ ไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ บางทีอาจไม่ใช่เพราะใจของเราอ่อนแอหรอก แต่อาจเป็นเพราะร่างกายต่างหากที่หยินหยางไม่สมดุล ลองกลับมาดูว่า เราพักผ่อนเพียงพอมั้ย? เครียดมากไปมั้ย? กินอาหารดี สูดอากาศดีรึเปล่า? กินอะไรบ่อยเกินไปมั้ยช่วงนี้? ดูอะไรมากไป ฟังอะไรมากไปรึเปล่า? เป็นต้น และบางครั้งอาจจำเป็นต้องไปพบหมอ

ร่างกายที่แข็งแรงทำให้จิตใจแข็งแรง จิตใจที่แข็งแรงก็ทำให้ร่างกายแข็งแรง ร่างกายและจิตใจย่อมเสริมกันและกัน ดังนั้น บางครั้ง มันก็อาจไม่ใช่ปัญหาจากจิตใจก็ได้ ก็จำเป็นต้องดูให้รอบด้าน เพราะสภาพแวดล้อมก็สำคัญต่อทั้งร่างกายและจิตใจ อย่าเพิ่งโทษใครร่วมถึงตัวเองว่าจิตใจอ่อนแอเพียงอย่างเดียว
ก่อนจะโทษใครว่าจิตใจอ่อนแอ ให้ดูที่สภาพแวดล้อมและสภาพร่างกายก่อน

28 กรกฎาคม 2565

เคล็ดวิชาในห้องนอน(房中術) กับ คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง ของเล่าจื่อ

เคล็ดวิชาในห้องนอน(房中術) หรือ กามสูตรของจีน ในแนวคิดเกี่ยวกับการค้นหาความเป็นอมตะอายุยืนนานนั้น ว่ากันว่าตีความมาจากคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง(เต๋าเต็กเก็ง)ของเล่าจื่อ ขอยกตัวอย่างมา 2 บทสำคัญ เรามาลองอ่านกันก่อนว่า 2 บทนี้กล่าวไว้อย่างไร

เต๋าเต๋อจิง บทที่ 55

ผู้เต็มเปี่ยมด้วยคุณความดี
คล้ายกับเด็กทารก
แมลงมีพิษไม่ต่อยกัด
สัตว์ร้ายไม่จู่จับ
นกร้ายไม่จิกตี
กระดูกของทารกนั้นอ่อน
กล้ามเนื้อนุ่มนิ่ม
แต่ถ้าจับฉวยสิ่งใด
ก็ยึดไว้แน่น
ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ทางเพศ
ระหว่างชายหญิง
แต่อวัยวะเพศของเด็กก็สมบูรณ์
นี่แสดงว่ากำลังของเด็กไม่เสื่อมถอย
ร้องไห้อยู่ตลอดวัน
น้ำเสียงก็ไม่แหบแห้ง
นี่แสดงว่าร่างกายของเด็ก
มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์
(สำนวนแปลไทยคลาสสิคของคุณ พจนา จันทรสันติ)

《老子》五十五章寫道: 含德之厚,比於赤子。毒蟲不螫,猛獸不據,攫鳥不搏。骨弱筋柔而握固,未知牝牡之合而朘作,精之至也; 終日號而不嗄,和之至也。

เต๋าเต๋อจิง บทที่ 6

มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน
นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่
มีคุณประโยชน์มากมาย ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น
(สำนวนแปลไทยคลาสสิคของคุณ พจนา จันทรสันติ)

《老子》第六章寫道: 穀神不死,是謂玄牝。玄牝之門,是謂天地根。綿綿若存,用之不勤。

จะเห็นว่าในบทที่ 55 รากฐานของความอายุวัฒนะนั้นมาจากลักษณะของทารกที่มีพลังเต็มเปี่ยม "ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ทางเพศ ระหว่างชายหญิง แต่อวัยวะเพศของเด็กก็สมบูรณ์ นี่แสดงว่ากำลังของเด็กไม่เสื่อมถอย" คำแปลที่ว่า "กำลังของเด็กไม่เสื่อมถอย" คำว่า "กำลัง" มาจากคำว่า 精 สารจิง ซึ่งหมายถึง สารแห่งชีวิตที่กักเก็บอยู่ในไต เป็นทุนก่อนกำเนิดซึ่งได้มาจากบิดามารดา เป็นพลังแห่งชีวิต ซึ่งส่วนหนึ่งของสารจิงคืออสุจิของเพศชายและน้ำหล่อลื่นของเพศหญิง ถ้าสารจิงสมบูรณ์สมรรถภาพทางเพศก็สมบูรณ์ ร่างกายก็แข็งแรง ผมดกดำ ฟันแข็งแรง อายุยืนมีกำลังวังชา แต่หากสารจิงพร่องจะทำให้สมองเสื่อม แก่เร็ว ผมร่วง ฟันโยก สมรรถภาพทางเพศเสื่อม เป็นหมัน บุรุษน้ำกามน้อย สตรีมีบุตรยาก ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งก็คือความชราก่อนวัยอันควรนั่นเอง และถ้าสารจิงหมดก็คือตาย ดังนั้นแนวคิดของเต๋าในสายอายุวัฒนะก็ใช้ลักษณะของทารกเป็นแนวทาง ซึ่งแก่นของแนวคิดก็คือการกักเก็บสารจิงให้เต็มเปี่ยมเหมือนเพิ่งเกิดใหม่นั่นเอง

ทีนี้ในบทที่ 6 ที่ว่า "มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ" คำว่า "มหิทธานุภาพอันล้ำลึก" มาจาก 穀神(กู่เสิน) ซึ่งแปลตรงตัวว่า "หุบเขาเทพเจ้า" ซึ่ง 神(เสิน) ที่แปลว่าเทพเจ้า ยังมีความหมายถึง จิตใจหรือจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ด้วย ซึ่ง เสิน แปรมาจาก ชี่ และ ชี่ แปรมาจาก จิง ดังนั้น 穀神(กู่เสิน) หรือหุบเขาแห่งเสิน(เทพเจ้า) ก็หมายถึง แอ่งกำเนิดของเสิน ซึ่งจุดกำเนิดเริ่มต้นก็มาจากสารจิง(元精) หากกักเก็บจิงเอาไว้ได้อย่างล้ำลึกจะไม่ตาย
คำว่า "เป็นมารดาอันมหัศจรรย์" มากจาก 是謂玄牝 คำว่า "มารดาอันมหัศจรรย์" มาจากคำว่า 玄牝 ซึ่ง 玄 แปลว่า ดำมืดลึกลับมหัศจรรย์ และ 牝 แปลว่า เพศเมีย หากเอาแต่ละคำมารวมกันจะหมายถึง สิ่งลึกลับของเพศเมีย ในที่นี้จึงอาจหมายถึง อวัยะเพศหญิง(หรือชายด้วย)
จะไปต่อแบบเร็วๆนะครับ "จากทวาราแห่งมารดานี้เอง" 玄牝之門 "ทวารา" มาจาก 門 คือ "ประตู" ซึ่งก็คือทางเข้าออก
"ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน" 是謂天地根 ฟ้าดิน ฟ้า=เพศชาย ดิน=เพศหญิง เป็นตัวแทนของภาพที่ว่า ฟ้าหลั่งน้ำลงมาสู่ดินจึงกำเนิดชีวิต ดังนั้น ประตูลึกลับนี้จึงเป็นที่พบกันระหว่างเพศชายและหญิง(ฟ้าดิน)
"นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่" 綿綿若存 คำว่า "นานแสนนานสืบมา" มาจากคำว่า 綿綿 คือ สื่บเนื่องไม่ขาดสาย หมายถึง การกักเก็บจิงอย่างต่อเนื่องให้คงอยู่
"มีคุณประโยชน์มากมาย ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น" 用之不勤 ใช้แล้วก็ไม่อ่อนล้า คำว่า ไม่อ่อนล้า มาจาก 不勤 ซึ่ง 勤 อาจแปลได้อีกว่า บ่อยๆ หรือ ขยัน ดังนั้นจึงอาจหมายถึง ในการมีเพศสัมพันธ์ของชายหญิง ไม่ควรบ่อยเกินไป(หรือไม่ควรทำจนเหนื่อยล้า) เพราะจะสูญเสียสารจิง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นทฤษฎี สรุปเป็นพื้นฐานแนวคิดได้ว่า ให้บำรุงและกักเก็บสารจิงเอาไว้ ไม่ควรใช้อย่างสิ้นเปลื้อง ซึ่งในที่นี้หมายถึงไม่ควรปล่อยอสุจิออกมาบ่อย จึงนำไปสู่เทคนิคกามสูตรของจีนที่ฝึกให้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่หลั่งหรือหลั่งเข้าในแทนที่จะหลั่งออกนอก เพื่อดูดซับสารจิงกลับคืน คงความอายุวัฒนะ และต่อยอดไปเป็นเคล็ดวิชาต่างๆมากมาย ซึ่งรายละเอียดตรงนี้และรายละเอียดเพิ่มเติมขอยกเอาไว้ เพราะจะกลายเป็นบทความ 18+ มากเกินไป
ซึ่งนี่ก็เป็นการตีความในด้านที่แสวงหาความอายุวัฒนะจากเพศสัมพันธ์ เป็นเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น ยังมีด้านอื่นอีก เช่น สายสมุนไพร สายเดินลมปราณ เป็นต้น ซึ่งมักใช้ทุกด้านไปพร้อมๆกัน

จากทั้งหมดนี้ผู้อ่านก็น่าจะเริ่มตีความได้เองแล้วต่อไปในระดับหนึ่ง และจะเห็นว่า ในการแปลตำราปรัชญา โดยเฉพาะอภิปรัชญาชั้นสูงนั้น มันมีความหมายแฝงอยู่มาก การแปลแบบถอดความทั่วไปจึงอาจไม่เห็นถึงความหมายแฝงในการตีความนอกสารบบได้ และหนังสือแปลก็ไม่สามารถแปลแบบนอกสารบบได้เพราะต้องแปลตามหลักการตีความมาตราฐาน(ไม่อย่านั้นจะเป็นเรื่องอื่นไป) จึงจำเป็นต้องแปลแบบถอดความโดยตัวมันเอง และบางคำก็แปลไม่ได้แต่ก็พอจะถอดความได้ ดังนั้น การมีหนังสือที่แปลแบบ คำต่อคำ หรือกึ่งคำต่อคำ ของคำต้นฉบับมาเทียบด้วยหลังจากอ่านแบบแปลถอดความแล้ว จึงชวนให้ตีความในเชิงลึกได้มากขึ้น มากกว่าฉากหน้าที่เห็น(ในการอ่านหนังสือแปลจึงควรอ่านหลายๆสำนวนแปลหากมีโอกาส) และบางทีต้องเชื่อมโยงการตีความซ้อนการตีความเข้าไปอีก เช่น การถ่ายเทซึมซับสารจิงจากการมีเพศสัมพันธ์ของชายหญิงนั้น อาจมองเป็นการศึกที่ใช้การหลอกล่อให้อีกฝ่ายถ่ายเทสารจิงออกมาให้มากกว่าเพื่อตัวเองจะได้เปรียบในการซึมซับสารจิง เป็นต้น นั่นคือเหตุที่เต๋าสายอายุวัฒนะมีการฝึกมีเพศสัมพันธ์แบบไม่หลั่ง เพื่อดูดซับกลับคืน และซึมซับน้ำหล่อลื่นจากฝ่ายหญิงอย่างเดียว เพื่อความเป็นอายุวัฒนะ เป็นต้น นั่นคือกลอุบายของฝ่ายชาย โอเค ไปไกลแล้ว เรากลับมาที่การศึกก่อน ๕๕๕ จากจุดนี้เราก็ใช้การตีความนี้เป็นพิชัยสงครามได้อีกเช่นกันนั่นเอง

หนังสือเต๋าเต๋อจิง นอกจากปรัชญาเต๋าเพียวๆแบบที่มีฉบับแปลไทยออกมานั้น ยังสามารถตีความนอกสารบบเป็นตำราอายุวัฒนะ ตำราพิชัยสงคราม ตำราการปกครอง ตำราการแพทย์ ตำราการเล่นแร่แปรธาตุ ฯลฯ และอื่นๆอีกมากมาย ขึ้นอยู่กับการตีความ และหนังสืออภิปรัชญายังมีอีกหลายเล่มที่นิยมเอามาตีความนอกสารบบ เช่น อี้จิง, ตำพิชัยสงครามซุนจื่อ, ตำราพิชัยสงครามสามสิบหกกลยุทธ์ เป็นต้น

จากที่เขียนมายาวเหยียดขนาดนี้(ไม่รู้จะมีใครอ่านจบมั้ย อิอิ) จะเห็นเลยว่า ทำไมหนังสือแปลจึงไม่อธิบายออกมาในลักษณะนี้ เพราะมันต้องใช้ความพยายามสูงมากทั้งคนแปลและคนอ่าน แค่แปลถอดความตามปกติก็ยากแล้วเพราะเป็นภาษาโบราณ การชี้ให้เห็นความหมายนอกสารบบนั้นยากยิ่งกว่า เพราะมันจะตีความไปเป็นอะไรก็ได้ เหมือนหนังสือที่มีความหมายซ้อนอยู่หลายชั้น อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว จึงไม่อาจชี้ได้หมด เพราะจะทำให้งงว่าตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ และมันจะกลายเป็นหนังสือตีความไปแทน เพราะแน่นอนว่า ตำราเต๋าเต๋อจิงย่อมมีความหมายแท้จริงของมันตามหลักการอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งต้องยอมรับว่านั้นคือความหมายตามสารบบ แต่อย่าให้เป็นการผูกขาดการตีความ เพราะการตีความนอกสารบบนั้นก็มีการใช้ประโยชน์อยู่จริงในหลายๆกลุ่มเช่นกัน จนกลายเป็น ชี่กง การแพทย์ และอื่นๆ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคงไม่อาจถือได้ว่าเป็นความหมายมาตราฐานตามหลักการได้ แต่ก็อาจใช้ประโยชน์ได้ และก็มีการพัฒนาเป็นตำรากามสูตรของจีน ทั้งการเล่นแร่แปรธาตุภายในและภายนอกเพื่อความอายุวัฒนะ และอื่นๆ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากพื้นฐานเดียวกัน

ส่วนตัวชอบการตีความและการเชื่อมโยงที่หลากหลาย และชอบอ่านการตีความแปลกๆของคนอื่นด้วย ผมไม่ถือว่าถูกหรือผิดแบบตายตัวแบบที่ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้นอย่างอื่นผิด ผมไม่ถืออย่างนั้นครับ เพราะมันแค่การตีความ ซึ่งทุกคนควรมีอิสระตามประสบการณ์ของตน
ในการอ่านหนังสือ อ่านแล้วตีความเพื่อใช้ประโยชน์ อย่าไปติดกับความหมายของคำอย่างตายตัวเพียงอย่างเดียว ลองอ่านเพื่อเชื่อมโยงแก่น เชื่อมโยงความหมาย ตีความให้หลากหลาย เอาไปประยุกต์ใช้กับเรื่องต่างๆให้กว้างขวาง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความสนุกที่ได้จากการอ่าน เหมือนเล่นเกม Puzzle อ่านเล่มเดียวกันแต่อาจได้ประโยชน์มากกว่ากันก็ได้ แต่ที่แน่ๆคืออ่านสนุกแน่นอน อ่านไปคิดไป ดังนั้นลองตีความกันดูนะครับ ที่เหลือก็ใช้หลักกาลามสูตร

บทความนี้ก็ถือว่าผมเขียนให้อ่านกันสนุกๆจากที่ได้เก็บเล็กผสมน้อยกันมาก็แล้วกันนะครับ ความรู้ของผมยังแค่หางอึ่ง ยังต้องศึกษาอีกมากครับ ซึ่งหากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

t.ly/9V5A
แถม

เคล็ดวิชาในห้องนอน(房中術) มีข้อห้ามของการมีเพศสัมพันธ์เอาไว้ดังนี้
  1. เมื่ออารมณ์ไม่สมดุล
  2. เมื่อเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ
  3. หลังจากกินอิ่มหรือเมามาย
  4. พึงระวังขณะเจ็บป่วย
  5. ตามสรีรวิทยาของฝ่ายหญิง เช่น การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร (ร่วมถึง มีประจำเดือน, ให้นมบุตร, ฯลฯ)

ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสมดุลของชี่เลือดและความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพ เพราะช่วงนั้นร่างกายอ่อนแอเกินไป และต้องเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่าย เพราะแนวคิดการมีเพศสัมพันธ์ในแบบจีนโบราณนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อสืบพันธุ์หรือความสนุกเท่านั้น แต่เป็นไปเพื่อสุขภาพด้วยนั่นเอง เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พร้อมทั้งกายและใจ การถ่ายเทหยินหยางจะไม่ประสบผล

อ้างอิง
https://baike.baidu.hk/item/%E6%88%BF%E4%B8%AD%E8%A1%93/1567235
https://zh.wikipedia.org/zh-hant/%E6%88%BF%E4%B8%AD%E6%9C%AF
http://www.sookjai.com/index.php?topic=36136.0
https://mgronline.com/china/detail/9480000051386
https://zhuanlan.zhihu.com/p/44556804

25 กรกฎาคม 2565

ประเด็นเรื่องชื่อของ SonGoku ใน Dragon Ball

t.ly/tfX0z
จากดราม่าเรื่องชื่อของ SonGoku หรือ 孫悟空 ใน Dragon Ball เอาจริงๆคือถ้าตามหลัก ย้ำอีกที ตามหลักการ ในไทยควรจะเรียก 孫悟空 ว่า ซุนหงอคง เหตุผลก็เพราะว่าเป็นการเรียกชื่อนี้ในสำเนียงไทยนั่นเอง ซึ่งที่เรียกว่า ซงโกคู นั่นก็นับเป็นชื่อนี้ในสำเนียงญี่ปุ่น และในเอเชียแต่ละประเทศก็เรียกชื่อนี้ด้วยสำเนียงของตัวเอง

จีนกลางเรียกว่า ซุนอู้คง
เกาหลีเรียกว่า ซนโอกง
เวียดนามเรียกว่า โตนโหงะคง

เพราะตามหลัก(ย้ำอีกที ตามหลักการ)แล้ว ต้องเรียกชื่อนี้ตามชื่ออ้างอิงจากตัวอักษรจีนครับ คือ 孫悟空

เพื่อให้เห็นภาพสมมุติว่า มีตัวละครชื่อไทยว่า สมชาย อยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งออกเสียงว่า โซมุไช ทีนี้ เราจะเรียกว่าโซมุไชหรือสมชาย? ถ้าตามหลัก คือ ในไทยควรเรียกว่า สมชาย เพราะอ้างอิงจากคำว่า "สมชาย" แต่จะเรียกว่าโซมุไชก็ไม่ผิดอะไรครับเพราะแค่เป็นสำเนียงญี่ปุ่นที่สื่อถึงตัวละครเดียวกัน
ส่วน โกฮัง ในมังงะเก่าๆก็มีเรียกว่า หงอฮัง แต่ส่วนตัวมองว่าควรเรียกว่า โกฮัง ตามญี่ปุ่นจะเหมาะกว่า เพราะเป็นตัวละครใหม่ที่ไม่อ้างอิงวรรณกรรมเดิม แม้ชื่อจะเขียนด้วยอักษรจีนก็ตาม แต่เป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลว่า ข้าว(อาหาร) (แต่จะเรียกหงอฮังก็ไม่ผิดอะไร) ส่วนแซ่ก็อาจจะเรียกด้วยแซ่ ซุน ต่อไปก็ไม่เป็นไรหากต้องการความสอดคล้อง

ทีนี้ที่ดราม่ากันส่วนนึงเพราะ ชื่อนี้ถูกเรียกด้วยคำว่า "โงกุน" ซึ่งแตกต่างไปเลย แต่ชื่อนี้ก็มีที่มา อาจเป็นเพราะการถอดคำจาก Goku ในสมัยก่อน โดยอาจเทียบกับคำว่า "หงอคง" จาก หงอ จึงเป็น "โง" ส่วน คง ก็ควรเป็น "คู" แต่ดันเป็น "กุน" ก็เห็นว่าเอกสารอ้างอิงสมัยก่อนเขียนว่า Gokul หรือ Gokuh จึงอาจถอดคำเป็น "กุล" จากตัวอ้างอิงนั้น แล้วเป็น "โงกุน" ไปในที่สุด เพราะชื่อเต็มเองก็ยังเรียกว่า ซุนโงกุน ยังใช้แซ่ "ซุน" แบบจีน จึงเป็นไปได้ว่าถอดคำโดยใช้สำเนียงไทย(ตามตัวอักษรจีน)เข้ามาเทียบผสมกับสำเนียงญี่ปุ่นไปด้วย(ในมังงะก็อาจเหมือนกันเพราะเรียกว่า ซุนโงคู) และเห็นว่านักพากษ์บอกว่าออกเสียง "โงกุน" ได้สะดวกดีด้วย
ในประเทศตะวันตกซึ่งไม่ได้มีวัฒนธรรมร่วมอะไรกับชื่อภาษาจีน เขาก็อาจเรียกตามเสียงที่ได้ยินครั้งแรก ซึ่งก็คือ ซงโกคู แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีตัวละครที่ถูกเปลี่ยนชื่อไปตามวัฒธรรม อย่างเช่น คุริริน ทางตะวันตกก็เปลี่ยนเป็น Krillin เพราะเรียกง่ายกว่า เป็นต้น

สรุปคือ จะเรียกแบบไหนก็ไม่ผิดอะไรครับ เพราะเป็นการใช้หลักในการเรียกต่างกัน และหลักการสามารถบัญญัติใหม่ได้เสมอ ซึ่งเป็นการเรียกกันตามยุคสมัย ต่างยุคก็อาจเรียกต่างกัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนเดี๋ยวก็มีการเปลี่ยนแปลงกันไปตามเหตุปัจจัยครับ
ส่วนจะเรียกแบบไหนก็แล้วแต่ เพราะ ไม่มีผิด ไม่มีถูก แค่อย่าไปล้อเลียนคนที่เรียกต่างจากเราก็พอครับ

อ้างอิง
https://www.online-station.net/anime/313188/

24 กรกฎาคม 2565

回春之術 - เคล็ดวิชาคืนความเยาว์

t.ly/AikH

เคล็ดวิชาคืนความเยาว์(回春之術) ชื่อนี้ตามตัวอักษรจีนหมายถึงการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ เป็นการเปรียบเปรยถึงการผ่านพ้นฤดูหนาวสู่การกำเนิดใหม่ดั่งฤดูใบไม้

เป็นการเสริมสมรรถภาพของม้ามและไตให้ทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เสริมสมรรถภาพทางเพศ สำหรับท่านชายก็ช่วยให้กลั้นได้นานขึ้น สำหรับท่านหญิงก็ช่วยให้ฟิตกระชับขึ้น ฟื้นฟูอาการอวัยวะหย่อนได้ บรรเทาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้มาก
หากว่าตามหลักปรัชญาจีนแล้ว นี่เป็นเทคนิคการเพิ่มพลังหยวนชี่(元氣 คือพลังปราณก่อนกำเนิดที่ได้จากพ่อแม่ ซึ่งจะลดลงเรื่อยๆตามอายุ) ซึ่งกักเก็บอยู่ในไต เมื่ออายุมากขึ้นชี่ก็จะพร่องลงมาก ทำให้มีพลังขับเคลื่อนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง(中風 จ้งเฟิง) และอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เคล็ดวิชาจึงนี้สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง

เมื่อหยวนชี่ได้รับการสะสมมากพอ การไหลเวียนโลหิตจะสะดวก ชี่และเลือดก็จะไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้เสมือนกลับสู่ความเยาว์วัยดั่งตอนที่หยวนชี่ยังเต็มเปี่ยม ทำให้มีอายุวัฒนะ ซึ่งเคล็ดวิชานี้เป็นวิชาลับและมีกระบวนท่าฝึกที่เกี่ยวข้องมากมาย ซึ่งในที่นี้จะขอนำเสนอวิธีที่ง่ายที่สุด สามารถทำได้ทุกที่ทุกกิริยาบท ไม่ว่าจะตอน ยืน เดิน นั่ง นอน ขอแค่มีวินัยเท่านั้น ก็จะช่วยได้มาก

เคล็ดวิชา คือ ให้ขมิบก้น(提肛運動) ขมิบเหมือนตอนกลั้นเพื่อหยุดปัสสาวะ ให้ขมิบแล้วคลาย ทำอย่างนี้อย่างน้อยวันละ 100 ครั้งขึ้นไป จะสามารถช่วยเพิ่มหยวนชี่ได้
ไม่ควรฝึกขณะอารมณ์ไม่ดี หิว เหนื่อย หรือปวดถ่าย ให้ขับถ่ายให้เรียบร้อยเสียก่อน

ซึ่งในการเสริมหยวนชี่นี้ ยังนับว่าเหมือนได้กินโสมจีนชั้นดีเลยทีเดียว เพราะโสมเป็นสมุนไพรเพียงชนิดเดียวที่เสริมหยวนชี่ได้ ความรู้ที่ให้เป็นวิทยาทานนี้ ถือเสียว่าผมได้เลี้ยงซุปโสมให้กับท่านก็แล้วกันนะครับ ;)

หากต้องการตอบแทนความรู้นี้ ก็ขอให้ท่านนำเงินไปบริจาคที่ไหนก็ได้ตามแต่ท่านศัทธา ขออนุโมทนาสาธุไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

อ้างอิง
https://samluangclinic.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5/
https://baike.baidu.com/item/%E6%8F%90%E8%82%9B%E8%BF%90%E5%8A%A8/2707167
http://wjw.beijing.gov.cn/bmfw_20143/jkzs/jksh/202112/t20211210_2558203.html

15 กรกฎาคม 2565

จงเชื่อในตัวเอง

Photo by Александр Македонский: https://www.pexels.com/photo/film-photography-of-aman-and-buildings-3572686/

จงเชื่อในตัวเอง แม้จะผิด แม้จะดูโง่(จากขี้ปากของคนอื่น) จงเชื่อในตัวเอง แม้มันจะผิดจริงๆ แม้มันจะโง่จริงๆ แล้วเรียนรู้จากมัน และเชื่อในตัวเองต่อไป ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณได้สัมผัสถึงมันอย่างแนบชิด และไม่มีอะไรมาทดแทนสิ่งนี้ได้ แม้คำพูดที่บอกในสิ่งที่ถูก แม้คำพูดที่บอกในสิ่งที่ฉลาดก็ทดแทนไม่ได้เลยกับ(สิ่งที่)ประสบ(กับเหตุ)การณ์(ด้วยตัวเอง)
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ไม่ว่าจะผิด ไม่ว่าจะโง่ ก็จงผิด และจงโง่ และจงเรียนรู้จากความผิด จงเรียนรู้จากความโง่ เมื่อรับผิดชอบถึงที่สุดแล้ว คุณจะโทษใครไม่ได้อีกต่อไป รวมถึงตัวเองด้วย เพราะบางอย่างก็แค่ความโง่ที่คุณต้องก้าวผ่านและเรียนรู้ แค่นั้น
การเชื่อในตัวเองไม่ใช่การหัวแข็งไม่ฟังใคร คุณต้องฟังแต่ขบคิด หากจะทำตามในสิ่งที่ผู้อื่นบอก ก็จงทำตามเพราะคิดแล้วว่าดี เพราะคิดแล้วว่าควร นี่ก็คือการเชื่อในตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ทำตามแบบนายสั่งขี้ข้าพลอย

อย่าทำตาม และอย่าไม่ทำตาม แค่ตัดสินใจเองที่จะทำหรือไม่ทำ

อ่านหนังสือเพื่อขบคิดให้รู้ไม่ใช่อ่านเพื่อเชื่อ ไม่ว่าจะฟังอะไรมาจากใครก็ตาม สุดท้ายจงเดินหมากด้วยการตัดสินใจของตัวเอง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จงเชื่อในตัวของคุณเอง

14 กรกฎาคม 2565

แสดงออกในสิ่งที่เป็น

Photo by Heloisa Vecchio: https://www.pexels.com/photo/reflection-of-woman-dancing-6760183/

มันไม่สำคัญว่าคุณทำอะไร แต่มันสำคัญที่ตัวตนที่คุณเป็น สิ่งที่คุณทำเป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงสิ่งที่คุณเป็น แต่ไม่สำคัญว่าจะใช้เครื่องมืออะไร สำคัญที่คุณเป็นอะไรมากกว่า ตัวตนจริงๆ ที่เป็นมาตั้งแต่ยังไม่เกิด
สมมุติว่าคุณเล่นหมากรุก เล่นเก่งมากเลย แล้วก็มาคุยโวว่า "ฉันเล่นหมากรุกเก่งมากเลย เก่งกว่าแกอีก ฉันมาโวใส่เพื่อจะให้แกรู้สึกว่าแกด้อยกว่า และฉันเก่งกว่าแก" ถ้าพยายามใช้สิ่งที่ทำเพื่อมาข่มผู้อื่น นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่จะทำ เพราะแม้จะเก่งระดับโลกขนาดไหน ได้รับคำชื่นชมขนาดไหน ภายในก็ยังคงกลวงโบ๋ เพราะเครื่องมือนั้นไม่ได้แสดงตัวตนที่เป็นออกมา แต่กลับเอามันมาปกปิดตัวตนด้วยการ ข่มเหงคนอื่น และจะกลวงโบ๋ไปชั่วชีวิต การพยายามข่มเหงกดขี่หรือเป็นคนเฮงซวยมักเกิดจากการปกปิดตัวตนเสมอ
นั่นเพราะสิ่งที่เลือกทำไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับคนอื่น คุณอาจนอนขี้เกียจไปวันๆก็ได้ บางคนมองว่าการนั่งสมาธิเป็นพวกขี้เกียจก็มี อันที่จริงมันเป็นเรื่องของคุณว่าจะเลือกเครื่องมืออะไร แต่คุณก็ยังคงเป็นในสิ่งที่เป็นอยู่ภายใน ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มันสมบูรณ์ในแบบที่มันเป็นอยู่แล้วตั้งแต่เกิด
แต่เมื่อคุณลุกขึ้นมาทำอะไรบางสิ่ง ก็ให้สิ่งที่ทำนั้นแสดงความเป็นตัวคุณออกมา อาจจะเป็นกีต้าร์ กลอง หมากรุก การทำอาหาร งานเขียน การงานที่ทำอยู่ ฯลฯ จะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณจะเลือกใช้ มันคือเครื่องมือ แม้จะใช้เครื่องมือเดียวกันกับใครอื่น แต่ทุกคนก็มีสิ่งที่เป็นต่างกัน ความเก่งความด้อยบางทีไม่ควรเทียบกันเลยด้วยซ้ำ หากเขาจะเลือก เขาก็เลือกที่ความเป็นตัวคุณ หากเขาจะไม่เลือก เขาก็ไม่เลือกเพราะความเป็นคุณอีกนั่นแหละ

มีตัวคุณ มีความเป็นตัวคุณ และเครื่องมือ เมื่อคุณแสดงสิ่งที่คุณเป็นออกมาในผลงานที่คุณสร้าง คุณก็กำลังเป็นแรงบรรดาลใจให้กับผู้อื่นได้ค้นหาตัวตนด้วยเช่นกัน
มันไม่สำคัญว่าเครื่องมือของคุณคืออะไร มันจะคืออะไรก็ได้แล้วแต่คุณ สำคัญที่ตัวตนของคุณต่างหาก และกำลังใช้เครื่องมือนั้นเพื่อปกปิดตัวตน หรือใช้เครื่องมือเพื่อแสดงในสิ่งที่เป็น
ค้นหาตัวเองก่อน แล้วลองเลือกเครื่องมือ และไม่ว่าจะเก่งหรือห่วย(จากขี้ปากคนอื่น) คุณก็เติมเต็มไปกับมันได้ชั่วชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องเทียบกับใครเลย

Photo by Lisa: https://www.pexels.com/photo/yellow-flower-under-blue-sky-3498114/

07 กรกฎาคม 2565

กลยุทธ์ในชีวิตประจำวัน

https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Strategy-and-tactics-pro-.png

Tit for tat คือกลยุทธ์ที่ว่าด้วยการให้ความร่วมมือไปก่อน แต่หากถูกเอาเปรียบ คนที่มาเอาเปรียบจะถูกลงโทษ(เอาคืน)หนึ่งครั้งแล้วค่อยให้อภัย

Tit for tat เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากยังเปิดโอกาสให้อภัย ไม่ปิดตาย อาจกลับมาร่วมมือกันได้ใหม่

ยังมีอีกกลยุทธ์หนึ่งเรียกว่า Tit for two tat เป็นการให้ความร่วมมือไปก่อนแต่ยอมให้เอาเปรียบ 2 ครั้ง ก่อนที่จะเอาคืน กลยุทธ์นี้ได้คะแนนสูงในแบบจำลองทั่วไปทางคอมพิวเตอร์ แต่ในแบบจำลองที่มีการเอาเปรียบสูง การให้อภัยมากเกินไปทำให้ได้คะแนนแย่กว่า Tit for tat ในทางทฤษฎีเกม จึงไม่ต้องกล่าวถึงกลยุทธ์ยอมเสมอที่ตายตั้งแต่ต้นเกม

อีกกลยุทธ์ที่คล้าย Tit for tat เรียกว่า Grim strategy คือกลยุทธ์ที่ว่าด้วยการให้ความร่วมมือไปก่อน แต่หากถูกเอาเปรียบ คนที่มาเอาเปรียบจะถูกเอาคืน(แบน)ตลอดไป กลยุทธ์นี้ได้คะแนนไม่ดีนักเพราะแวดวงจะจำกัด เนื่องจากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะสูญเสียผู้ที่อาจร่วมมือไปตลอดกาล

กลยุทธ์เอาเปรียบเสมอ อาจดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ที่น่าจะได้คะแนนมากที่สุดแต่กลับเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ได้คะแนนแย่ เพราะเมื่อเอาเปรียบเสมอเจอเอาเปรียบเสมอก็ไม่ได้อะไร เมื่อเอาเปรียบเสมอเจอ Tit for tat ก็ได้แค่ครั้งเดียวแล้วจะถูกกันออกไป กลยุทธ์เอาเปรียบเสมอจึงไม่อาจหาคะแนนเพิ่มได้อีกเพราะถูกกันออกไปให้เจอแต่คนโกงด้วยกันเองและสุดท้ายก็โกงกันเองจนตายตามกลยุทธ์ยอมเสมอ
แต่ Tit for tat จะมีแวดวงร่วมมือเพิ่มขึ้น และสุดท้ายก็เป็นสังคมที่ร่วมมือต่อกันและกันอย่างยั่งยืน

Tit for tat เรียกเป็นไทยว่า ต่างตอบแทน หรือตาต่อตา-ฟันต่อฟัน หมายความว่า ดีมาก็ดีกลับ โกงมาก็โกงกลับ

Tit for tat - ต่างตอบแทน

อ้างอิง

01 กรกฎาคม 2565

การใช้ SOS, Mayday, Pan-pan, และสัญญาณมือขอความช่วยเหลือสากล

https://pxhere.com/th/photo/700653

SOS
เดิมเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินที่ส่งด้วยรหัสมอร์ส ...---... อาจใช้ส่งด้วยเสียง(เช่น นกหวีด) หรือแสง(เช่น ไฟฉาย) ด้วยการเป่า(หรือส่อง) สั้นสั้นสั้น(เว้น)ยาวยาวยาว(เว้น)สั้นสั้นสั้น(เว้นเว้น) แล้วทำซ้ำๆไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีคนรับสัญญาณ หรืออาจจะเขียนหรือทำสัญลักษณ์ตัวอักษร SOS ขนาดใหญ่ก็ได้
SOS สามารถอ่านได้เหมือนกันทั้งกลับหัวกลับหาง

Mayday
เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินทางวิทยุสื่อสารด้วยการพูด มีความหมายเหมือน SOS ต้องพูด Mayday 3 ครั้ง คือ “Mayday mayday mayday” (เมย์เดย์ เมย์เดย์ เมย์เดย์) เดิมใช้ในหมู่นักบิน ปัจจุบันใช้ทั่วไปด้วยการพูดผ่านวิทยุสื่อสาร
มาจากภาษาฝรั่งเศส คือ "m'aider" หมายถึง "ช่วยฉันด้วย"

Pan-pan
เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือเช่นกัน แต่ไม่ถึงกับฉุกเฉิน เป็นการบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เช่น มีเหตุไม่น่าไว้วางใจ, มีเหตุทะเลาะวิวาท, เครื่องยนตร์ผิดปกติ(แต่ยังใช้การได้อยู่), เครื่องยนตร์เรือเสีย(แต่ยังลอยลำได้ ไม่จม), ฯลฯ เพื่อขอความช่วยเหลือหรือเตรียมการ(กู้ภัย) หรือขอให้ช่วยตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้น ในการใช้ต้องพูด 3 ชุด คือ "Pan-pan pan-pan pan-pan" (แพน-แพน แพน-แพน แพน-แพน) นิยมใช้กันในหมู่นักบิน
มาจากคำว่า Panne ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า เสียหาย หรือ ขัดข้อง


สัญญาณมือขอความช่วยเหลือสากล (The Signal for Help)
กำหนดขึ้นโดยมูลนิธิสตรีแห่งแคนาดา The Canadian Women's Foundation เพื่อขอความช่วยเหลือแบบเงียบๆ ไม่ให้เป็นอันตรายต่อตัวผู้ขอความช่วยเหลือ เช่น กำลังถูกข่มขู่ ไม่สามารถพูดอะไรได้ ก็อาจใช้สัญลักษณ์มือนี้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาหรือหน้ากล้องวิดิโอ เพื่อให้เขาเข้าช่วยเหลือหรือแจ้งตำรวจ
ส่งสัญญาณด้วยการ หันฝ่ามือออกพับนิ้วโป้ง แล้วพับนิ้วทั้งสี่ลงมากุมนิ้วโป้งไว้ อาจทำแบบนี้ซ้ำๆ

สัญญาณมือขอความช่วยเหลือสากล (The Signal for Help)