ka tilu lili. = สัตว์+น้ำ+ตัวเล็ก = สัตว์น้ำตัวเล็ก = ปลาตัวเล็ก
iku pula muku. สิ่ง+ดี+กินได้ = สิ่งดีที่กินได้
อย่าสับสนกับการใช้ li เชื่อที่ใช้บ่งชี้ถึงภาคแสดงที่บ่งบอกลักษณะของประธาน
ka li lili. = คน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = คนที่ตัวเล็ก
ka lili li lili. = คน+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = เด็กที่ตัวเล็ก
kati muku pula. = ผลไม้+หวาน+ดี = ผลไม้รสหวานอร่อยดี
kati muku li pula. = ผลไม้+หวาน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ดี = ผลไม้รสหวานนั้นดีงาม
คำนามที่ถูกกระทำ (กรรม) จะใช้ i เป็นคำเชื่อมกริยากับกรรมตรง บ่งชี้ถัดไปเป็นสิ่งถูกกระทำ ka lili li muku i kati. = คน+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้สิ่งถูกกระทำ)+ผัก = เด็กกินผัก
ka lupa li muku i ka tilu. = สัตว์+บ้าน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้สิ่งถูกกระทำ)+สัตว์+น้ำ = สัตว์บ้านกินสัตว์น้ำ = สัตว์เลี้ยงกินปลา = หมา/แมวกำลังกินปลา
li muku i a. = มัน+กิน+(บ่งชี้สิ่งที่ถูกกระทำ)+ทุกอย่าง = มันกินทุกสิ่งทุกอย่าง
li uli i li. = เขา+ต้องการ+(บ่งชี้สิ่งที่ถูกกระทำ)+มัน = เขาต้องการมัน
การใช้ lu กับ la lu เป็นคำบุพบทหรือคำเชื่อมก็ได้ mi lu kiku kati. = ฉัน+อยู่ที่+สถานที่+ที่มีต้นไม้ = ฉันอยู่ที่สวน (คำบุพบท) tila muku lu mi. = คุณ+กิน+กับ+ฉัน = คุณกำลังกินอยู่กับฉัน (คำบุพบท) (ยังแปลได้อีกว่า คุณน่ารักสำหรับฉัน) mi lu tila mi muti. = ฉัน+และ+คุณ+เรา+เล่น = ฉันและคุณพวกเรากำลังเล่น (คำเชื่อม)
คำเชื่อมสำหรับภาคแสดงให้ใช้ li ซ้ำในการคั่นภาคแสดงแต่ละอย่าง
ka li li lili li muku. = สัตว์+นี้+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+น่ารัก = สัตว์นี้ตัวเล็กและน่ารัก
สำหรับกรรมตรงใช้ i ซ้ำในการคั่นสิ่งที่ถูกกระทำแต่ละสิ่ง
mi muku i tilu i kati. = ฉัน+กิน+(บ่งชี้กรรม)น้ำ+(บ่งชี้กรรม)+ผัก = ฉันกินน้ำและผัก
la คำเชื่อมบริบท, คำเชื่อมวลีเงื่อนไข แปลคร่าวๆประมาณ ก็, ย่อม ki la li lu lupa mi. = บางที+ก็+เขา+อยู่ที่+ห้อง+ของฉัน = บางทีเขาก็อยู่ที่ห้องของฉัน kiku kati la ka lili li lapi = สถานที่+ที่มีต้นไม้+ก็+สิ่งมีชีวิต+ตัวเล็ก+(ชี้กริยา)+นอน = ในป่าสัตว์ก็พักผ่อน "ในป่า" คือบริบท จากนั้น "ก็" เข้ามาเชื่อม "สัตว์ตัวเล็ก" ซึ่งก็คือประธานในที่นี้ที่มีภาพแสดงเป็นการนอน ใช้ la เป็นการเชื่อมเพื่ออ้างถึงบริบทกับประธานนั่นเอง
ilu li lu mi. = เครื่องมือ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+อยู่กับ+ฉัน = เครื่องมืออยู่กับฉัน = ฉันมีเครื่องมือ
การเปรียบเทียบ อาจใช้ la ในการเปรียบเทียบ
kati mi lu kati tila la, kati mi li tiku. = ต้นไม้+ของฉัน+กับ+ต้นไม้+ของคุณ+ก็+ต้นไม้+ของฉัน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+สูง = ต้นไม้ของฉันกับต้นไม้ของคุณก็ต้นไม้ของฉันสูง = ต้นไม้ของฉันสูงกว่าต้นไม้ของคุณ
การระบุชื่อ ชื่อในตูกีตีกีจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้น สำหรับชื่อคนให้ใส่ ka ไว้ข้างหน้า เพื่อระบุว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งในที่นี้คือ 'คน'
ka Lila = คน+(ชื่อ)ลีลา = คนชื่อลีลา = คุณลีลา
ถ้าเป็นชื่อประเทศให้นำหน้าด้วย kiku, ชื่อภาษานำด้วย tuki, ชื่อต้นไม้นำด้วย kati และอื่นๆก็นำด้วยคำที่สื่อถึงสิ่งนั้น เป็นต้น
คำถาม คำถามปลายปิด ที่ต้อง ใช่/ไม่ นั้นใช้รูปแบบ "คำกริยา ala คำกริยา"
tila muku ala muku? = คุณ+กิน+ไม่+กิน? = คุณกินไม่กิน? = คุณกินมั้ย?
ในการตอบ ถ้าใช่ ก็ให้ตอบคำกริยานั้นไป muku. = กิน
ถ้าไม่ก็ใส่ ala หลังคำกริยา (หรือห้าคำกริยาก็ได้) muku ala. = กิน+ไม่ = หาได้กินไม่ = ไม่กิน
tila pula ala pula? = คุณ+ดี+ไม่+ดี? = คุณดีหรือไม่ดี?/คุณสบายดีมั้ย?/คุณโอเคมั้ย? ตอบได้ว่า pula (สบายดี), pula ala (ไม่ค่อยสบาย)
คำถามปลายเปิดจะใช้คำว่า timi (อะไร) วิธีใช้คล้ายๆภาษาไทย li timi? = นี่อะไร? ka timi li muku i tilu mi? = คน+ไหน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้กรรม)+น้ำ+ฉัน? = คนไหนกินน้ำของฉัน? = ใครกินน้ำของฉัน? mi ilu timi i iku li? = ฉัน+ใช้+อะไร+(บ่งชี้กรรม)+เครื่องมือ+นี้? = ฉันใช้อย่างไรกับเครื่องมือนี้ = ฉันจะใช้เครื่องมือนี้อย่างไร?
คำสั่ง ตูกีตีกีไม่มีประโยคคำสั่ง เป็นแค่ประโยคบอกเล่า ต้องใช้บริบทเข้าช่วย tila muku alal i mi! = คุณ+กิน+ไม่+(บ่งชี้กรรม)+ฉัน! = คุณไม่กินฉัน! = แกอย่ากินฉันนะ!
tila taka i kati lu mi. = คุณ+เคลื่อน+(บ่งชี้กรรม)+ผัก+สู่+ฉัน = คุณส่งผักให้ฉันที
mi uli i muku. = ฉัน+ต้องการ+(บ่งชี้กรรม)+อาหาร = ฉันต้องการอาหาร
การปฏิเสธใช้คำว่า ala ต่อท้ายคำที่ต้องการปฏิเสธ mi lape ala. = ฉัน+นอน+ไม่ = ฉันหานอนไม่ = ฉันไม่นอน/ฉันไม่ได้นอน jan ala li toki. = คน+ไม่+(บ่งชี้ว่าคำถัดไปเป็นภาคแสดง)+พูด = ไม่มีคนพูด
mi ala. = ฉัน+ไม่ = ฉันไม่ใช่ = ไม่ใช่ฉัน
mi ala pali. = ฉัน+ไม่+ทำ = ไม่ใช่ฉันทำ
mi pali ala. = ฉัน+ทำ+ไม่ = ฉันไม่ทำ
mi wile ala tawa musi = ฉัน+ต้องการ+ไม่+ไป+เต้นรำ = ฉันไม่ต้องการไปเต้นรำ
การขยายเพิ่มจะขยายคำก่อนๆหน้าเสมอ lipu kasi tu. = หนังสือ+พืช+สอง = หนังสือพันธุ์พืชสองเล่ม/แผ่น
อย่าสับสนกับ li ที่ใช้บ่งชี้ถึงภาคแสดงที่บ่งบอกลักษณะของประธาน
jan li lili. = คน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = คนที่ตัวเล็ก
jan lili li lili. = คน+เล็ก+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล็ก = เด็กที่ตัวเล็ก
jan lili meli. = คน+เล็ก+เพศหญิง = เด็กผู้หญิง
jan lili meli li lili. = เด็กผู้หญิงตัวเล็ก
คั่นคำขยายต่างๆเพื่อแบ่งขอบเขตการขยายความได้ด้วย pi อาจแปลคร่าวๆได้ว่า 'แห่ง' คำขยายก็จะขยายเฉพาะคำหลักของมันเอง ไม่เกี่ยวกับคำที่อยู่หน้า pi อีกต่อไป lipu pi kasi tu. = หนังสือ+แห่ง+พืช+สอง = หนังสือแห่งพืชสองชนิด (พืช+สอง จะขยายกันเอง ไม่เกี่ยวกับหนังสือ เพราะคั้นด้วย pi เอาไว้แล้ว) tomo pi telo nasa. = ห้อง+แห่ง+น้ำ+เมา = ห้องแห่งเหล้า = บาร์
บ่งชี้สิ่งที่ถูกกระทำ e ใช้เป็นคำเชื่อมคำกริยากับกรรมตรง บ่งชี้ว่าคำที่อยู่หน้า e จะเป็นกริยาและคำที่ถัดจาก e ไปเป็นสิ่งถูกกริยานั้นกระทำ soweli li moku e telo. = สัตว์+(บ่งชี้ภาคแสดง)+กิน+(บ่งชี้ว่าต่อไปเป็นกรรม)+น้ำ = สัตว์กินน้ำ mi telo e soweli. = ฉัน+ล้าง+(บ่งชี้ว่าต่อไปเป็นกรรม)+สัตว์ = ฉันอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยง sina pona e ilo. = คุณ+ทำให้ดีขึ้น+(บ่งชี้ว่าต่อไปเป็นกรรม)+เครื่องมือ = เขาทำให้ดีขึ้น(ซึ่งกระทำกับ)เครื่องมือ = เขาซ่อมเครื่องมือ
คำบุพบท kepeken (ใช้), lon (ที่), sama (เหมือน), tan (จาก), และ tawa (ไป) สามารถใช้เป็นคำบุพบทได้โดยไม่ต้องใส่ e mi moku kepeken ilo. = ฉัน+กิน+โดยใช้+อุปกรณ์ = ฉันกินอาหารโดยใช้อุปกรณ์การกิน(ช้อนส้อม) soweli li lon tomo. = สัตว์+อยู่+ที่+บ้าน = สัตว์อยู่ที่บ้าน sina toki sama kala! = คุณ+พูด+เหมือน+ปลา = คุณพูดเหมือนปลา! mi kama tan esun. = ฉัน+มา+จาก+ร้านค้า = ฉันมาจากร้านค้า ona li toki e ni tawa sina. = เขา+(บ่งชี้ภาคแสดง)+พูด+(บ่งชี้ว่ามีสิ่งถูกกระทำ)+นี่+สู่+คุณ = เขาพูดแบบนี้กับคุณ
คำเชื่อม สำหรับรวมหลายสิ่งเข้าด้วยกันใช้ en แปลว่า 'และ' mi en sina li musi mute. = ฉัน+และ+คุณ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+เล่น+มาก = ฉันและคุณเล่นเยอะมาก
สำหรับภาคแสดง ให้ใช้ li ซ้ำ soweli ni li lili li suwi. = สัตว์+นี้+เป็น+ที่เล็ก+ที่น่ารัก = สัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์ที่ตัวเล็กและน่ารัก
สำหรับกรรมตรง ให้ใช้ e ซ้ำ ona li jo e waso e kala. = เขา+(บ่งชี้ภาคแสดง)+มี+(บ่งชี้ว่ามีสิ่งถูกกระทำ)+นก+(บ่งชี้ว่ามีสิ่งถูกกระทำ)+ปลา = เขามีนกและปลา
สำหรับบุพบท ให้ซ้ำบุพบท mi pali e tomo kepenken palisa kepeken kiwen. = ฉัน+ทำ+(บ่งชี้สิ่งถูกกระทำ)+บ้าน+โดยใช้+ท่อนไม้+โดยใช้+หิน = ฉันสร้างบ้านโดยใช้ไม้โดยใช้หิน = ฉันสร้างบ้านโดยใช้ไม้และหิน
anu แปลว่า 'หรือ' ni li pona anu ike? = นี่+คือ+ดี+หรือ+แย่ = นี่คือดีหรือแย่? mi anu sina li tawa esun. = ฉัน+หรือ+เธอ+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ไป+ร้านค้า = ฉันหรือเธอไปร้านค้า sina jo e kili anu telo? = คุณ+มี+(บ่งชี้กรรม)+ผลไม้+หรือ+น้ำ = คุณมีผลไม้หรือน้ำ?
การระบุชื่อ ชื่อจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้น โดยให้ใส่คำนำหน้าที่บ่งบอกถึงสิ่งนั้น jan Sonja = คน+ซอนย่า = คนชื่อซอนย่า = คุณซอนย่า (ชื่อคน ให้ใส่ jan ที่แปลว่า 'คน' ไว้ข้างหน้าชื่อ) toki Toki Pona = ภาษา+โตกีโปนา = ภาษาโตกีโปนา (ชื่อภาษา ให้ใส่ toki ที่แปลว่า 'ภาษา' ไว้ข้าหน้าชื่อ) ma Mali = ประเทศ+มาลี = ประเทศมาลี (ชื่อประเทศ ให้ใส่ ma ที่แปลว่า 'ประเทศ' ไว้ข้างหน้าชื่อ)
ฉากเปิดเรื่องของนวนิยาย สิทธารถะ โดย แฮร์มันน์ เฮสเส แปลเป็น toki pona โดย jan Kala ตัวเขียน sitelen pona โดย jan Majeka
การออกคำสั่ง ใช้ o ก่อนคำกริยาเพื่อทำให้เป็นคำสั่ง แปลคร่าวๆได้ว่า 'จง' หรือ 'โปรด' o kute! = จงฟัง! o pali! = จงทำ!
ใช้ o หลังประธานได้โดยเป็นการเรียกขาน แปลคร่าวๆได้ว่า 'โอ้, เฮ้' jan Pape o! = ปาเป โอ้! = ปาเป เฮ้! = เฮ้ ปาเป
ใช้ o ระหว่างคำนามและภาคแสดงเพื่อแสดงออกถึงความหวัง ความปราถนา เป็นกึ่งๆคำสั่ง กึ่งๆการสวดอ้อนวอน pona o tawa sina. = ความดี+โอ+ไปสู่+คุณ = ความดีจงไปสู่คุณ = ขอให้สิ่งดีๆไปสู่คุณ mi o pali. = ฉัน+โอ+ทำ = ฉันควรทำงานได้แล้วสินะ soweli To o moku. = สัตว์+ชื่อโต+โอ+กิน = เจ้าโตกินสิ
คำอุทาน ใช้ a (อา) เป็นคำอุทานต่างๆ wawa a! = เข้มข้นอ่ะ!
toki a. = สวัสดีจ้า pona a. = ขอบคุณนะ lon a! = จริงเลย!/ถูกต้องเลย! moku pona a! = อาหารดีอ่า!
การคำถาม สำหรับคำถามปลายปิดสำหรับตอบว่า ใช้หรือไม่ จะใช้คำถามแบบ 'คำกริยา ala คำกริยา' sina moku alal moku? = คุณ+กิน+ไม่+กิน = คุณกินไม่กิน? = คุณกินหรือไม่กิน? = คุณกินมั้ย?
ตอบใช่ ด้วยการทวนคำกริยานั้น moku = กิน
ตอบไม่ ด้วยการใช้ 'คำกริยานั้น ala' หรือ ala moku ala = กิน+ไม่ = หาได้กินไม่ = ไม่กิน ala = ไม่
สำหรับคำถามปลายเปิด ใช้คำว่า seme (อะไร, ไหน) kala anu seme li lon poki? = ปลา+หรือ+อะไร+อยู่+ใน+กล่อง =ปลาหรือตัวอะไรอยู่ในกล่อง? jan seme li toki? = คน+อะไร+(บ่งชี้กริยา)+พูด = คนไหนพูด?/ใครพูด? sina pali e seme? = คุณ+ทำ+(บ่งชี้กรรม)+อะไร = คุณกำลังทำอะไร? seme li lon tomo mi? = อะไร+อยู่+ที่+บ้าน+ฉัน = อะไรอยู่ที่บ้านของฉัน? ma seme li pona tawa sina? = แผ่นดิน+อะไร+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ดี+สำหรับ+คุณ = ประเทศอะไรที่ดีสำหรับคุณ? = คุณชอบประเทศอะไร? sina jo e kili aue seme? = คุณ+มี(บ่งชี้กรรม)+ผลไม้+หรือ+อะไร = คุณมีผลไม้หรืออะไรอื่น?
คำกริยาซ้อนกริยา (Preverbs) เป็นเหมือนการขยายคำกริยา จะเป็นคำกริยาที่อยู่ก่อนหน้าคำกริยา จริงๆก็เหมือนแปลตรงตัวจากซ้ายไปขวาในไวยกรณ์ภาษาไทยอยู่แล้ว ไม่เป็นปัญหาในการทำความเข้าใจของคนไทย แต่มาดูตัวอย่างกันสักหน่อยก็แล้วกันครับ mi kama sona. = ฉัน+มา+รู้ = ฉันมาเรียนรู้ waso lili li wile suli. = นก+ตัวเล็ก+(บ่งชี้คำกริยา)+อยาก+โต = นกตัวเล็กอยากตัวโต
wile (อยาก), kama (มา), sona (รู้), lukin (ดู), ken (สามารถ), awen (รอคอย), และบางครั้ง alasa (ค้นหา) ใช้เป็นคำกริยาซ้อนกับคำกริยาได้
บริบท la ใช้เชื่อมบริบทของประโยค แปลคร่าวๆว่า 'ก็', 'จึง', 'ย่อม' sina lon poka mi la mi pilin pona = คุณ+อยู่+ข้าง+ฉัน+ก็+ฉัน+รู้สึก+ดี = คุณอยู่ข้างๆฉันก็ทำให้ฉันรู้สึกดี sina seli tan seme? tan seme la sina seli? = คุณร้อนจากอะไร? จากอะไรจึงทำให้คุณร้อน? = ทำไมคุณถึงร้อน?
mi lape lon tenpo pimeja. tenpo pimeja la mi lape. = ฉันนอนในเวลามืด(กลางคืน). เวลามืดก็ฉันนอน.
"เวลากลางคืน" คือ บริบท "ฉันนอน" คือ ประธานที่มีคำขยายมาด้วย จึงใช้ la คั่นระหว่างบริบทกับประธานนั่นเอง
ระบบตัวเลข wan = 1, tu = 2, luka = 5, mute = 20, ale = 100
เกี่ยวกับช่วงเวลา สำหรับการพูดถึงเรื่องในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต จะใช้วลีนำหน้าเหล่านี้ครับ tenpo pini la ... = เวลา+จบ+ก็... = เวลาที่จบไปแล้วก็... = ตอนนั้นก็... (พูดถึงอดีต) tenpo ni la ... = เวลา+นี้+ก็... = เวลานี้ก็... = ตอนนี้... (พูดถึงปัจจุบัน) tempo kama la ... = เวลา+มา+ก็... = เวลาที่จะมาถึงก็... = ตอนหน้าก็...) (พูดถึงอนาคต)
tenpo pini la ona li moku pan mute. = เมื่อก่อนเขากินขนมปังมาก tenpo ni la mi lon tomo mi. = ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านของฉัน tenpo kama la mi wile tawa ma sina = ในอนาคตฉันต้องการไปประเทศของคุณ
การเปรียบเทียบ ภาษาโตกีโปนาไม่มีโครงสร้างเฉพาะเจาะจงในการเปรียบเทียบ แต่สามารถประยุกต์ได้หลายวิธี เช่น kili li moku pona. pipi li moku ike. = ผลไม้เป็นอาหารที่ดี แมลงเป็นอาหารที่ไม่ดี = ผลไม้อร่อยกว่าแมลง
poki mi li suli tawa poki sina. = กระเป๋า+ของฉัน+(บ่งชี้ภาพแสดง)+ใหญ่+ไปสู่+กระเป๋า+ของคุณ = กระเป๋าของฉันใหญ่กว่ากระเป๋าของคุณ
poki mi li suli lon poka pi poki sina. = กระเป๋า+ของฉัน+(บ่งชี้ภาพแสดง)+ใหญ่+ที่+ข้าง+ของ+กระเป๋า+ของคุณ = กระเป๋าของฉันใหญ่อยู่ที่ข้างของกระเป๋าของคุณ = กระเป๋าของฉันใหญ่กว่ากระเป๋าของคุณ
เก็บตกประโยคตัวอย่างที่น่าสนใจ suno li lon sewi = ตะวัน+(บ่งชี้ภาคแสดง)+ที่+เบื้องบน = ดวงอาทิตย์อยู่บนฟ้า mi kepeken e poki = ฉัน+ใช้+(บ่งชี้กรรม)+ภาชนะ = ฉันใช้ภาชนะ mi tawa e kiwen = ฉัน+เคลื่อน+(บ่งชี้กรรม)+หิน = ฉันขยับหิน ona li kama tawa tomo mi = เขา+(บ่งชี้ภาคแสดง)+มา+สู่+บ้าน+ฉัน = เขามาสู่บ้านของฉัน
ซึ่งหลังจากผู้ประดิษฐ์คิดค้นภาษานี้และร่วมปรับปรุงการใช้กับชุมชนได้สักพักก็ออกหนังสือชื่อว่า Toki Pona: The Language of Good (lipu pu) เป็นหนังสือแนะนำการใช้ภาษาโตกีโปนาอย่างเป็นทางการ (อุดหนุนเธอได้ครับ แนะนำว่าควรอ่าน) ซึ่งในหนังสือได้ออกแบบมาครบถ้วนมากเลยทีเดียว มีทั้งการใช้ภาษาเขียนภาษาพูด ซึ่งก็คือการเขียนคำอ่านด้วยตัวอักษรโรมันที่เราได้คุยกันไปแล้วข้างต้น และมีอักษรภาพแบบตัวเขียน (sitelen pona) ซึ่งคล้ายๆภาษาอินเดียนแดง เอาไว้เขียนเป็นสัญลักษณ์สำหรับสื่อสารได้ด้วย ยังมีตัวจารึก (sitelen sitelen) ซึ่งเป็นอักษรภาพเชิงวิจิตร และมีการใช้ในภาษามือโตกีโปนาอีกด้วย (รู้สึกว่าภาษามือในหนังสือซึ่งเรียกว่า toki pona luka ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว แต่หันมาใช้ luka pona แทน ซึ่งเกิดจากการพัฒนาร่วมกันโดย jan Olipija ซึ่ง jan Sonja ผู้สร้างภาษา Toki Pona ก็ให้การสนับสนุน) แล้วไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีคนคิดค้นวิธีการใช้อีโมจิเป็นภาษาโตกีโปนา (sitelen Emoji) อีกต่างหาก
ในขณะที่ภาษาโตกีโปนาเน้นศัพท์ความหมายรากฐานเป็นความเรียบง่ายที่คลุมเครือเป็นและภาษาเชิงปรัชญา ก็มีภาษาประดิษฐ์อีกภาษาหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยอิงจากหลักตรรกศาสตร์ ถือเป็นภาษาเชิงตรรกะ มีโครงสร้างที่ชัดเจนและลดความคลุมเครือให้เหลือน้อยที่สุด นั่นคือ ภาษา Lojban โลจบาน มีความเข้มงวดและมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนมาก โครงสร้างประโยคอิงตามหลักตรรกศาสตร์ ทำให้สามารถระบุบทบาทของแต่ละคำในประโยคได้อย่างแม่นยำ ขึ้นชื่อว่าเป็น "ภาษาประดิษฐ์ที่มีไวยากรณ์สมบูรณ์ที่สุดอาจจะเป็นโลจบาน เพราะเป็นภาษาที่สร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนตรรกะ" เอริกา โอเรนส์ ผู้ประพันธ์ In the Land of Invented Languages กล่าวไว้
แน่นอนว่าไวยากรณ์ที่อิงตามตรรกศาสตร์อาจดูซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านตรรกะ และด้วยโครงสร้างที่เข้มงวด อาจทำให้การสื่อสารในชีวิตประจำวันดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ แต่ก็น่าค้นหาพอสมควรเลยล่ะครับ หากสนใจลองไปศึกษากันดูได้ครับจากตำราอย่างเป็นทางการ The Complete Lojban Language