Sponsor

07 มกราคม 2568

ระบบสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มด้วยเหรียญ


จากบทความ Diceware - เทคนิคการตั้งรหัสผ่านแบบจำง่ายแต่แกะยากโดยใช้ลูกเต๋า (แนะนำให้อ่านเพิ่มเติม) ซึ่งเป็นระบบสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มด้วยลูกเต๋าที่ให้ความปลอดภัยได้สูงมาก ซึ่งเป็นระบบที่ EFF (the Electronic Frontier Foundation) แนะนำให้ใช้เป็นแนวทางในการสร้างรหัสผ่านส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุด
เป็นทางเลือกอีกระบบ หรือบางครั้งอาจไม่สะดวกหากต้องคิดรหัสผ่านใหม่นอกสถานที่ เพราะต้องใช้ลูกเต๋าร่วมกับรายการคำศัพท์ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ? ทางผู้พัฒนา Diceware จึงได้สร้างระบบสร้างรหัสผ่านแบบสุ่มด้วยเหรียญขึ้นมาโดยใช้เพียง
  1. เหรียญ 4 เหรียญ (เหรียญอะไรก็แต่แนะนำให้เป็นขนาดและชนิดเดียวกัน หรือใช้เหรียญเดียวทอยหลายรอบก็ได้)
  2. แป้มพิมพ์คอมพิวเตอร์มาตราฐาน
เราจะใช้หน้าของเหรียญเพื่อสร้างเลขฐานสอง โดยเมื่อทอยเหรียญลงพื้นแล้วให้เหรียญทางซ้ายสุดหรือบนสุดเป็นหลักใหญ่แล้วไล่รองลงมาตามลำดับ  โดย หัว = 1; ก้อย = 0

กระบวนการสร้างรหัสผ่าน
  1. สุ่มกำหนดแถวของแป้นพิมพ์ ทอย 2 เหรียญ: แถวล่างสุด = 00 (ก้อย-ก้อย), แถวถัดขึ้นมา = 01 (ก้อย-หัว), แถวรองบนสุด = 10 (หัว-ก้อย), แถวบนสุด = 11 (หัว-หัว)
  2. สุ่มกำหนดปุ่มในแถว ทอย 4 เหรียญ: จะได้ค่าตั้งแต่ 0 ถึง 15 (ซึ่งแปลงเลขฐานสองเป็นฐานสิบแล้ว) ใช้ตัวเลขนี้เพื่อนับปุ่มในแถวที่เลือก โดยเริ่มจากด้านซ้ายไปขวา และนับปุ่มอักษรแรกเป็น 0
    • หากค่าที่ได้มากกว่าจำนวนปุ่มในแถว ให้ทอยใหม่
    • หากต้องการได้ค่าความสุ่มระดับสูงสุด คุณควรเริ่มใหม่ตั้งแต่ข้อ 1 คือสุ่มแถวใหม่อีกครั้ง แต่ค่าเบี่ยงเบนของความสุ่มก็ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญมากนัก หากจะใช้แถวเดิมก็ไม่เป็นไร
  3. สุ่มกำหนดว่าพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็ก (กด Shift หรือไม่) ทอย 1 เหรียญ: เพื่อกำหนดว่าตัวอักษรจะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ (หัว) หรือตัวพิมพ์เล็ก (ก้อย) 
ตัวอย่าง
  1. ทอยครั้งที่ 1: เหรียญทางซ้าย = หัว, เหรียญทางขวา = ก้อย (10): เลือกแถวรองบนสุด (QWERTYUIOP...)
  2. ทอยครั้งที่ 2: เหรียญจากซ้ายไปขวา: หัว-ก้อย-ก้อย-หัว (1001 = 9): เลือกปุ่มลำดับที่ 9 ซึ่งก็คือ P (เริ่มนับ 0 จาก Q)
  3. ทอยครั้งที่ 3: ก้อย (0): ให้ใช้ตัวพิมพ์เล็ก (ไม่ต้องกด Shift): ดังนั้นคือตัว p
แล้วให้ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ความยาวรหัสผ่านพอกับความต้องการ (แนะนำที่ 10 ตัว หรือ 8-16 ตัวขึ้นไป)

ทีนี้ก็จะได้รหัสผ่านแบบสุ่มเหรียญที่ไร้รูปแบบอันเกิดจากการสุ่มแท้ จึงมีความไม่แน่นอนแบบไร้ระเบียบระดับสูงสุด การสุ่มแท้จึงทำให้เกิดรหัสผ่านที่แข็งแกร่งอย่างมากครับ
หากสงสัยว่าทำไมรหัสที่สร้างจากระบบการสุ่มแท้ถึงได้มีความแข็งแกร่งมากกว่ารหัสที่เลือกด้วยตัวเอง (แม้จะเลือกปนๆไปกันอย่างไม่เจาะจงก็ตาม) สามารถศึกษเพิ่มเติมจากบทความนี้ได้ครับ ความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน

ระบบสุ่มเหรียญก็เป็นวิธีที่สะดวกอีกวิธีหนึ่งและได้รหัสผ่านอันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับการใช้ระบบ Diceware แต่หากใช้ระบบ Diceware ได้จะดีที่สุด เนื่องจากเป็นคำๆ ซึ่งยาวกว่าแต่จำได้ง่ายกว่า และเป็นมาตราฐานสูงที่แนะนำในระดับสากลครับ หรืออาจใช้ผสมผสานกันก็ได้ครับ


แถม
หากไม่สะดวกทอยเหรียญจริงแนะนำให้ทอยเหรียญผ่านเว็บ https://www.random.org/coins/ ซึ่งเป็นเว็บแบบสุ่มแท้ (True random จากสัญญาณรบกวนในบรรยากาศ ซึ่งไม่ใช่จากการสุ่มเทียมที่คำนวณด้วยโปรแกรม) พอจะเทียบเท่าได้กับการทอยเหรียญจริงอยู่ครับ แต่ถ้าทอยเหรียญเองจะเป็นการสุ่มแท้ที่ดีที่สุดครับ

เพราะปัญหาของการสุ่มคือ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือการสุ่ม...

อ้างอิง

03 มกราคม 2568

PulseEffects เพิ่มคุณภาพเสียงให้ Linux ด้วย Crystalizer


เดิมเคยเขียนบทความเรื่อง การเพิ่มคุณภาพเสียงบน Linux ซึ่งเป็นการปรับแต่งเชิงลึกด้วยระบบ Text แต่ครั้งนี้จะมาแนะนำวิธีที่ง่ายดายกว่านั้นด้วยการใช้โปรแกรม PulseEffects (สำหรับ PulseAudio หรือ EasyEffects สำหรับ PipeWire) ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีสำหรับปรับแต่งเสียงบน Linux เพื่อเพิ่มคุณภาพเสียง เสมือนได้การ์ดเสียงใหม่กันเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น ๕๕๕)
โดยเฉพาะฟังชั่นตัวชูโรงที่ชื่อว่า Crystalizer ซึ่งได้จำลองเทคโนโลยี Crystalizer ของการ์ดเสียง Creative Sound Blaster X-Fi อันโด่งดัง (สมัย X-Fi เพิ่งออกใหม่ๆคือดังมากๆ) มาให้ใช้กันฟรีๆโดยไม่ต้องมีการ์ดเสียง X-Fi ซึ่งเทคโนโลยีนี้เดิมอ้างว่าสามารถปรับปรุงคุณภาพเสียงที่ถูกบีบอัดให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นได้ เสียงออกมาจะมีช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น ลึกขึ้น และให้เสียงที่ชัดใสกว่าเดิม

และยังมีฟังชั่นปรับปรุงคุณภาพเสียงอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น
  • EQ เอาไว้ปรับแต่งย่านเสียงเพื่อชดเชยความถี่ที่หายไปให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมหรือตามใจชอบได้เลย มีหลายย่านให้ปรับแต่งได้อย่างละเอียดมากๆ
  • Limiter จำกัดระดับเสียงให้ไม่ดังเกินระดับที่จำกัดไว้ จะได้ไม่ตกใจกับเสียงตูมตอนที่ลืมปรับโวลลุ่มลง
  • Loudness Compensator ช่วยชดเชยความถี่เสียงที่อาจสูญหายไปในระดับเสียงเบา โดยเพิ่มเสียงในย่านเบสและแหลมเพื่อให้เสียงมีความสมดุลและชัดเจนขึ้นในทุกระดับความดัง เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานลำโพงขนาดเล็กหรือฟังเพลงในระดับเสียงเบา
  • Auto Gain ช่วยตรวจจับเสียงเบาๆโดยอัตโนมัติ เช่น เสียงกระซิบ แล้วจะปรับให้เสียงเบาๆนั้นดังขึ้นโดยไม่ทำให้เสียงอื่นๆดังขึ้นไปด้วย
  • Reverberation เพื่อจำลองเสียงสามมิติอย่างง่าย เลือกขนาด Room หรือปรับแต่งได้ตามต้องการ
  • Bass Enhancer เพิ่มความแน่นของเสียงด้วยการเพิ่ม Harmonic ของเสียงเข้าไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสียงที่แน่นขึ้น หรืออาจเป็นตัวช่วยที่ดีผู้ที่ใช้ลำโพงเล็กๆและต้องการเสียงที่แน่นกว่าเดิม
  • Convolver สามารถจำลองระบบประมวลผลเสียงต่างๆได้ เช่น Dolby Digital, Dolby Pro Logic II, Creative CMSS-3D, DTS, etc. ซึ่งระบบเหล่านี้จะสร้างเสียงรอบทิศทาง (Virtual surround) จากระบบสเตอริโอได้ (ใช่ครับ จะมีเสียงมาจากข้างหลังได้ทั้งที่มีแค่ลำโพงหรือหูฟังสเตอริโอ หากเป็นลำโพงต้องจัดวางลำโพงทั้งสองให้ขนานกันและมีระยะห่างของจุดนั่งเท่ากับระยะห่างของลำโพงจะได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด) หรือจำลองระบบเสียงอื่นๆ เช่น Creative Sound Blaster X-Fi MB3, Tube TrueSound (แอมป์หลอดสุญญากาศ) เป็นต้น แต่ต้องใช้กำลังภายในเพื่อศึกษาและหาไฟล์ .irs ซึ่งไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้นะครับ หากสนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองว่าตัวไหนมีคุณภาพอย่างไร แต่จะกล่าวถึงวิธีการใช้พอสังเขปดังนี้ เมื่อได้ไฟล์ .irs มาแล้วให้ไปที่ Home จากนั้นไปที่ .var/app/com.github.wwmm.pulseeffects/config/PulseEffects/irs แล้ววางไฟล์ .irs ไว้ในนั้น จากนั้นเมื่อจะใช้งานก็เพียงเข้าฟังชั่น Convolver แล้วกดที่รูปลูกคลื่นที่ฝั่งขวา แล้วเลือกตัวประมวลผลเสียงที่ต้องการได้เลย (ซึ่งกิน CPU เพิ่มขึ้นพอสมควรทีเดียว)
  • Crystalizer ช่วยฟื้นฟูช่วงไดนามิกและแอทแทคของเสียงที่ถูกลดทอนจากการบีบอัด เพื่อเพิ่มละเอียดที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาโดยผ่านการวิเคราะห์ทางดิจิทัล ทำให้เสียงมีความคมชัดใสมากขึ้น อิ่มขึ้น และอาจฟังดูมีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น ซึ่งค่าปรับแต่งปริยายก็ใช้ได้เป็นอย่างดี แต่หากยังไม่ชอบใจก็สามารถปรับแต่งเองได้อย่างอิสระตามสไตล์ Linux (การเปิด Aggressive Mode จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้น แต่อาจทำให้เสียงไม่เป็นธรรมชาติในบางกรณี แนะนำว่าไม่เปิดดีกว่า)
  • และอื่นๆอีกมากมายลองไปเล่นกันดูครับ ปรับแต่งได้ทั้งฝั่ง Output และ Input ซึ่งหากออกเวอร์ชั่นใหม่ๆก็อาจจะเพิ่มฟังชั่นขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
วิธีติดตั้งก็เพียงเข้าไปที่ Software Manager แล้วค้นหาชื่อ PulseEffects แล้วติดตั้งตามระบบได้เลย เป็นอันเรียบร้อย จากนั้นเปิดโปรแกรมขึ้นมาก็พร้อมใช้งานได้แล้วล่ะครับ

วิธีใช้ก็เพียงติ๊กถูกหน้าชื่อฟังชั่นที่ต้องการ โปรแกรมก็จะทำงานอยู่เบื้องหลังให้ทันที หากต้องการปรับแต่งก็เพียงคลิกที่ชื่อฟังชั่นนั้นๆก็สามารถเข้าไปปรับแต่งได้ตามต้องการ

*หมายเหตุ* บางเครื่องเมื่อเปิดเครื่องมาใหม่โปรแกรมไม่รันอัตโนมัติ ดูวิธีตั้งค่าให้รันอัตโนมัตเมื่อเปิดเครื่องทุกครั้งได้ที่ส่วนแถมท้ายบทความครับ

เท่าที่ผมได้ลองใช้ โดยเฉพาะ Crystalizer ต้องบอกว่ายังไม่เหมือนกับ Crystalizer ของ Creative Sound Blaster X-Fi ซะทีเดียว แต่ก็นับว่าทำออกมาได้ดีมาก เป็นทางเลือกที่แนะนำสำหรับชาว Linux เพราะทำให้คุณภาพเสียงส่วนใหญ่ดีขึ้นได้จริง แต่จะมากน้อยแค่ไหนหรืออย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลแล้วล่ะครับ เพราะซอร์ฟแวร์ปรับแต่งเสียงอาจทำให้บางคนก็รู้สึกว่ามันหลอกหูก็จะไม่ชอบ แต่บางคนก็รู้สึกว่าทำให้เสียงเพราะขึ้นก็จะชอบ ก็นานาจิตตังครับ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ใช้การ์ดเสียงหรือลำโพงเล็กๆคุณภาพธรรมดาๆ ตัวปรับแต่งเสียงนี้ก็อาจช่วยยกระดับเสียงให้ดีขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย หรือเสียงที่มิกซ์แบบ Loudness war (ซึ่งมักเจอได้บ่อย อธิบายสั้นๆ คือ เป็นการมิกซ์เสียงแบบดังเกินไปมาตั้งแต่ต้นฉบับ เพื่อให้เสียงดังแข่งกับเพลงอื่น เพราะเมื่อเปิดเพลงต่อกันเพลงที่มิกซ์เสียงดังกว่าจะเรียกร้องความสนใจจากผู้คนได้มากกว่า ทำให้ค่ายเพลงแข่งกันมิกซ์ให้ดังขึ้นเรื่อยๆ จนยอดคลื่นเสียงถูกคลิป ทำให้เสียงขาดไดนามิก จึงเรียกว่า สงครามเสียงดัง หรือ Loudness war) Crystalizer ก็ช่วยคืนไดนามิกขึ้นมาได้ แต่สำหรับผู้ที่ใช้ไฟล์เสียงคุณภาพสูง การ์ดเสียงชั้นดี และลำโพงเทพอยู่แล้ว การปรับแต่งเสียงด้วยซอร์ฟแวร์ก็อาจไม่จำเป็นก็ได้ครับ แต่ไม่ว่าอย่างไร PulseEffects ก็คุ้มค่า ครบเครื่อง ที่สำคัญคือฟรี จะลองสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร จึงเอามาแนะนำให้เพื่อนๆไปลองเล่นกันดูครับ

ในการฟังเครื่องเสียง สิ่งสำคัญคือต้องฟังแล้วรู้สึกสบายหูที่สุด แสดงว่านั่นเหมาะกับเราที่สุดแล้วครับ แต่ถ้าฟังไปสัก 2-3 เพลงแล้วหูล้าๆเหนื่อยๆ แบบนั้นแสดงว่าระบบเสียงนั้นไม่เหมาะกับเราครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการฟังเพลงครับ


แถม
เมื่อติดตั้งแล้วบางระบบ PulseEffects จะไม่รันอัตโนมัติ หากต้องไปเปิดโปรแกรมเองทุกครั้งที่เปิดเครื่องใหม่ซึ่งไม่สะดวกแน่ สำหรับ Zorin OS หรือ Linux Ubuntu base ให้ทำตามนี้ครับ
  1. เข้า PulseEffects กดตรงขีดสี่ขีดบริเวณมุมขวาบนเพื่อเข้าไปตั้งค่า
  2. เลือก Start Service at Login จากนั้นก็รีสตาร์ต เท่านี้บางเครื่องก็อาจจะรันเองแล้ว แต่บางเครื่องก็ไม่ (ส่วนใหญ่จะไม่) หากไม่ ก็ให้ทำตามวิธีการต่อไป
  3. เข้าไปใน Home เปิดให้โชว์ไฟล์ที่ซ่อนอยู่ (Show Hidden Files) แล้วเข้าไปในโฟลเดอร์ตามนี้ .var/app/com.github.wwmm.pulseeffects/config/autostart
  4. ก๊อปไฟล์ pulseeffects-service.desktop ไปวางไว้ที่ .config/autostart ซึ่งอยู่ใน Home เหมือนกัน
  5. จากนั้นเข้าไปในไฟล์ pulseeffects-service.desktop ด้วยโปรแกรมแก้ไขข้อความ
  6. แก้จาก Exec=pulseeffects --gapplication-service เป็น Exec=/usr/bin/flatpak run --branch=stable --arch=x86_64 --command=pulseeffects com.github.wwmm.pulseeffects --gapplication-service
ก็เป็นอันเสร็จสิ้น จากนี้เมื่อเปิดเครื่อง PulseEffects ก็พร้อมทำงานอยู่เบื้องหลังทันทีครับ

อ้างอิง